วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

มะลิสีแดง : นิทานชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่สวนผึ้ง ตอนที่ 2

ต่อจาก  มะลิสีแดง : นิทานชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่สวนผึ้ง ตอนที่ 1

อันเขาแดน ซึ่งอยู่ชายแดนเป็นที่ตั้งของดงมะลิมหึมา มีโคมะลิดอกสีแดงเป็นนางพญามะลินั้น มีระยะห่างจากบ้านเจ้าหนุ่มอั้งเป็นระยะทางเดิน 3 วัน 3 คืน เป็นที่ร่ำลือกันถึงสัตว์ดุร้ายอย่างที่สุด พวกพรานไพรหาสามารถบุกเข้าไปล่าสัตว์ไม่ เพราะปรากฏว่าต้องถูกโขลงช้างป่า และเสือหมีไล่ทำร้ายบาดเจ็บล้มตายไป หลายคนรู้กันดีทั้งป่า แต่เจ้าหนุ่มอั้งผู้ไม่เคยทำร้ายสัตว์ก็หาหวาดหวั่นไม่ เขาพร้อมจะสละชีวิตเพื่อช่วยชีวิตสาวที่ตนหลงรัก


สองวันแรกแห่งการเดินทาง ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอตกวันที่สามตอนสาย เมื่อเจ้าหนุ่มเดินทางถึงดงไผ่ก็เผชิญเข้ากับ ช้างโขลงใหญ่หลายสิบตัวหัวหน้าโขลงมี "ห้างด้วน" ซึ่งเป็นโขลงที่ดุร้ายที่สุด ชาวกะเหรี่ยงรู้จักพิษสงของฝูกอีด้วนดี 


ภาพจำลอง ประกอบบทความ
ที่มาของภาพ http://mediastudio.co.th/2017/04/26/144454/

โขลงอีด้วน นั้น ได้กลิ่นมนุษย์แต่ไกล มันต่างก็อุบเงียบอยู่ในดงไผ่ด้วยความอาฆาตมาดร้าย เพราะพวกของมันหลายตัว ได้ถูกพรานกะเหรี่ยงยิงด้วยปืนและหน้าไม้อาบยางน่อง บาดเจ็บล้มตายไปจำนวนมาก โขลงอีด้วนจึงมีความพยาบาทพวกมนุษย์อย่างสาหัส พบเมื่อใดมันเป็นเล่นงานเอาชีวิจเมื่อนั้น ณ ป่าใหญ่เขาแดนอาณษบริเวณนี้คือ บ้านเมืองของโขลงอีด้วน พรานไพรรู้จักดี หามีใครสามารถบุกเข้ามาล่าถึงรังของมันได้ จึงเมื่อมีมนุษย์กล้าบ้าบิ่นอาจหาญบุกเข้ามาจนถึงรังของมันแต่ผู้เดียวเช่นนี้ โขลงอีด้วน จึงพากันซุ่มอยู่อย่างเงียบงำ มั่นมั่นหมายว่าจะล้อมกรอบบดขยี้มนุษย์ศัตรูตัวฉกาจของมันให้จงได้ เพราะมันอยู่ใต้ลมได้กลิ่นมนุษย์แต่ไกล



ฝ่ายเจ้าหนุ่มกะเหรี่ยงผู้สืบตระกูลใจบุญ ไม่เคยฆ่าสัตว์ไพร ไม่เคยทำร้ายสัตว์ไพรบาดเจ็บ แหละแม้แต่จะคิดทำร้ายก็ไม่เคย ได้เดินเข้าใกล้ดงไผ่ป่ามหึมา เห็นรอยเท้าช้างป่าเกลื่อนบริเวณนั้น จึงหยุดพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็รู้ทันทีว่า โขลงช้างป่าคงจะอยู่ในอาณาบริเวณดงไผ่เป็นแน่ เพราะสังเกตจากรอยตีนที่ย่ำดินเป็ฯรอยใหม่ ต้นไม้เล็กๆ ที่ถูกเหยียบตายยังมีใบเขียวสดเป็นการบอกให้รู้ชัดเจนว่า โขลงช้างป่าเพิ่งจะเหยียบผ่านไปไม่นานนัก เพราะต้นหญ้าที่ถูกช้างเหยียบนั้นหากข้ามวันข้ามคืน ก็จะแห้งไปตามกาลเวลา ซึ่งเจ้าหนุ่มกะเหรี่ยงแม้ไม่ช่ำชองทางพรานไพร แต่ก็มีความรู้เรื่องนี้ดี


"หน้าไม้" ภาพจำลอง ประกอบบทความ
ที่มาของภาพ : http://tainaplajad.blogspot.com/2014/02/blog-post_20.html

จึงเมื่อรู้ได้เช่นนี้ เจ้าหนุ่มก็เริ่มใช้ความสังเกตป่าอย่างระมัดระวัง หยุดพักสูบยาพ่นควันดูลม เห็นควันยาลอยจากตนเข้าดงไผ่ก็รู้ได้ทันทีว่า ตนกำลังอยู่ในความเสียเปรียบโขลงช้างไพร เพราะตนเป็นฝ่ายอยู่เหนือลม ช้างไพรเป็นฝ่ายอยู๋ใต้ลม ซึ่งมันจะสูดกลิ่นตนรู้ได้แต่ไกล เจ้าหนุ่มผู้ใจบุญจึงหยิบหน้าไม้ออกมาขึ้นใส่ลูกดอกอาบยาพิษลงในราง พร้อมจะยิงในทันทีเมื่อช้างป่าออกมาทำร้าย พลางก็พิจารณาดูทำเลทางหนีไว้ก่อน เพื่อความไม่ประมาท พิจารณาเห็นว่าอาณาบริเวณนั้นไม่มีต้นไม้ใหญ่ พอจะขึ้นหลบช้างไพรได้ คงมีแต่ภูฌขาลูกใกล้ๆ เท่านั้นที่จะใช้หลบภัยได้ เจ้าหนุ่มจึงรีบเดินทางเข้าใกล้ภูเขาอย่างเร็วจี๋ เพราะชักผิดสังเกตุอะไรบ้างอย่าง เป็นเรื่องสังหรณ์ใจ

ฝ่ายหัวหน้าโขลงอีด้วนอันดุร้าย ซึ่งซุ่มเงียบงำในป่ารก จับตาเขม้นมองการเคลื่อนไหวของมนุษย์ศัตรูร้ายอย่างอาฆาต ครั้งเห็นมนุษญ์ทำอาการอย่างดังนั้น กู้รู้ทันทีว่ามนุษย์คนนี้ ไหวพริบดีมีความระมัดระวังตัวเป็นเลิศ จะรอช้าไม่ได้ มันจึงแผดเสียงแปร๋นขึ้น เสียงดังสะท้านก้องทั้งป่า เป็นอาณัติสัญญาณลูกโขลงให้เปิดฉากล้อมกรอบบดขยี้มนุษย์ศัตรูตัวร้าย พลางก็นำโขลงพุ่งเข้าใส่มนุษย์ทันที ลูกโขลงหลายสิบตัวต่างก็แผดเสียงร้องดังสะท้านไปทั้งป่า ดาหน้ากันเข้าหาเหยื่อเสียงอื้ออึงปานแผ่นดินจะถล่ม ค่างลิงชะนีตกใจกระโจนร้องลั่นบนยอดไม้  
อ่านต่อ >>

มะลิสีแดง : นิทานชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่สวนผึ้ง ตอนที่ 1

ผู้เขียนได้ไปพบหนังสือเก่าของบิดา (นายสละ จันทรวงศ์) เล่มหนึ่ง ชื่อว่า "นิทานชาวเขาเผากะเหรี่ยง" มีนิทานเขียนไว้ จำนวน 17 เรื่อง รวบรวบโดย วิจิตร ขุมทรัพย์ จัดพิมพ์และจำหน่ายโดย สำนักพิมพ์ธรรมบรรณาคาร พระนคร เมื่อปี พ.ศ.2514 ราคาเล่มละ 14 บาท  มีนิทานอยู่หลายเรื่องเกี่ยวข้องกับชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงแถบ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เช่น เรื่อง มะลิสีแดง นี้ ผู้เขียนจึงขออนุญาตนำมาเขียนไว้ในบล็อกนี้ ตามเนื้อหาเดิม โดยไม่ได้ตัดต่อใดๆ ดังนี้


มะลิสีแดง
ที่มาของเรื่องคือ....บ้าน "บางคะยู" ชายแดนพม่า ติดกับทิศตะวันตกของ ต.สวนผึ้ง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี

ในบรรดาชาวเขาเผ่าต่างๆ นั้น เผ่าซึ่งได้รับการยกย่องอย่างสูงว่าเป็นเผ่าที่ทำการล่าสัตว์ได้อย่างเก่งฉกาจ คือ เผ่ามูเซอ และเผ่ากะเหรี่ยง สองเผ่านี้ยึดเอาอาชีพล่าสัตว์เป็นอาชีพสำคัญยิ่งของชีวิต

ณ หมู่บ้าน "บางคะยู" ชายแดนพม่าอุดมไปด้วยสัตว์ป่า ทั้งดุร้ายและไม่ดุ ผู้ชายชาวกะเหรี่ยงส่วนมากยึดเอาอาชีพล่าสัตว์ ส่วนผู้หญิงทำไร่ ยังมีตระกูลหนึ่งมีความดีประจำตระกูลสืบมา ความดีนั้น คือ ไม่นิยมการล่าสัตว์ตัดชีวิต ยึดอาชีพทำไร่หาของป่าขายเป็นอาชีพ

ครั้งหนึ่งลูกสาวสวยของหัวหน้าหมู่บ้าน เกิดป่วยเป็นไข้ป่าอย่างแรง หมอประจำหมู่บ้านรักษาจนหมดความสามารถก็ไม่หาย มีแต่ทรุดลงทุกขณะ หัวหน้าหมู่บ้านซึ่งชื่อ "เอิ่ง" จึงประกาศว่า หากผู้ใดรักษานางอ่อง ลูกสาวแกหายจากอาการป่วยไข้ได้แล้ว แกยินดียก "นางอ่อง" ให้เป็นภรรยา  ข่าวนี้กระจายไปทั้งแคว้นกะเหรี่ยง บรรดาหมอมีชื่อจากหมู่บ้านต่างๆ หวังจะได้ลูกสาวสวยของหัวหน้าหมู่บ้านผู้ร่ำรวยเป็นภรรยาก็พาเดินทางมารักษา แต่ก็หามีใครเก่งกาจรักษาอาการป่วยของสาวสวยให้หายได้ไม่

ยังมีเจ้าหนุ่มหนึ่ง เป็นทุกข์เป็นร้อนในอาการป่วยของสาวสวยอ่องยิ่งนัก เจ้าหนุ่มผู้นี้ชื่อ "อั้ง" ซึ่งสืบตระกูลผู้ไม่นิยมการล่าสัตว์ตัดชีวิตนั่นเอง เกรงว่านางอ่องที่ตนหลงรักจะตายจากไปเสีย เจ้าหนุ่มจึงไปยังขุนเขาผาแดง อันมี "จ้าวพ่อผาแดง" สิงสถิตอยู่ จ้าวพ่อผาแดงนี้ เป็นที่เคารพนับถือของชาวกะเหรี่ยง ทั้งแคว้น

เมื่อไปถึงขุนเขาจ้าวพ่อผาแดง เจ้าหนุ่มอั้งก็กราบไหว้จ้าวพ่อ บรรยายความในใจที่ตนหลงรักสาวอ่อง ของให้จ้าวพ่อช่วยเหลือให้ตนรู้วิธีจะรักษาสาวอ่องให้หายจากไข้ด้วยเถิด ตนนี้มีความรักในสาวอ่องอย่างซื่อสัตย์แน่นหนา หากสาวอ่องถึงแก่ความตายตนจะขอโดดหน้าผาตายตาม ไม่ขอมีชีวิตอยู๋สืบไป 

จ้าวพ่อผาแดง ได้ฟังคำอ้อนวอนของเจ้าหนุ่มผู้มีความประพฤติดี ไม่นิยมการทำบาปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทารุณโหดร้ายแก่สัตว์ไพร เช่นชาวกะเหรี่ยงทั้งหลาย ก็มีความสงสารใคร่จะช่วยเหลือ ตามคำวิงวอนบนบานศาลกล่าว ของเจ้าหนุ่มประพฤติดี มีจิตใจเมตตาสัตว์ แต่จะให้เจ้าหนุ่มสำเร็จผลโดยง่ายก็ไม่สมควร จำจะต้องทดลองจิตใจเจ้าหนุ่มเสียก่อน จึงบันดาลให้เกิดเสียงงเข้าช่องหูเจ้าหนุ่มผู้มีจิตใจเมตตาสัตว์ไพร ว่า....

"ดูก่อน เจ้าหนุ่มน้อย ข้าเป็นเทวดารักษาป่านี้ รู้แล้วว่าเอ็งนั้นมีความประพฤติดี ไม่โหดร้ายทารุณต่อสัตว์ไพรร่วมโลก เหมือนชาวกะเหรี่ยงทั้งหลายที่ยึดเอาการทารุณโหดร้ายแก่สัตว์เป็นอาชีพ ซึ่งมนุษย์ที่มีความประพฤติดีเยี่ยงตระกูลใจบุญเช่นนี้ เทวดาจ้าวป่าจ้าวเขาย่อมจะรักษา 

ข้าจะช่วยเองได้ แต่เอ็งจะต้องกระทำให้เห็นว่า เอ็งนั้นรักนางอ่องยิ่งชีวิต เอ็งจะต้องฝ่าอันตรายอย่างร้ายแรง ในการจะช่วยชีวิตนางอ่อง ข้าอยากรู้ว่าเอ็งจะกล้าผจญกับความตาวครั้งนี้หรือไม่"

เจ้าหนุ่มอั้งผู้มีใจบุญ ไม่ทารุณโหดร้ายต่อสัตว์ไพร ได้ยินเสียงจ้าวพ่อผาแดงหวิวๆ ในช่องหู ไม่เห็นร่างของท่านก็ถึงแก่ขนลุกซู่ รีบกราบลงอีกสามครั้ง เอ่ยรับรองด้วยเสียงหนักแน่น จากความจริงใจว่า

"จ้าวพ่อที่เคารพนับถือของข้าและของชาวกะเหรี่ยงทั้งแคว้น ข้อขอให้คำมั่นสัญญาแก่จ้าวพ่อด้วยความสัตย์จริงว่า ข้ารักนางอ่องยิ่งชีวิต ถึงแม้จะเสี่ยงอันตรายร้ายแรงอย่างใด ในการรักษาให้นางหาย ข้าเต็มใจฝ่าความตายอย่างจริงใจ ขอให้จ้าวพ่อมีคำสั่งมาเถิด ข้าจะทำตามทันที"

เมื่อเจ้าหนุ่มใจบุญกล่าวจบ ก็มีเสียงหวิวๆ ในชองหูว่า

"ถ้าอย่างนั้นแล้ว เอ็งจงเดินทางไปยัง "หุบมะลิป่า" ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก ระหว่างทางเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เอ็งจะต้องใช้ความเก่งกล้าต่อสู้กับมัน แล้วหลบหลีกไปจนถึง "หุบมะลิป่า" อันเป็นดงมะลิใหญ่ อยู่ระหว่างเขาแดน ยามราตรีอาณาบริเวณนั้นจะหอมระรื่นไปด้วยกลิ่นมะลิ และมี "โคตัวมะลิ" หรือนางพญษมะลิไพร ขึ้นอยู่กลางดง นางพญษมะลิไพรนี้ หาได้มีดอกสีขาวเหมือนดอกมะลิทั้งหลายไม่ คือ มีดอกสีแดง และมีกลิ่นหอมอย่างวิเศษ อันกลิ่นหอมของนางพญามะลิดงนี้ สามารถจะรักษาไข้ทั้งปวงให้หายได้ในทันทีที่คนไข้ได้สูดดม ทว่ารอบดงมะลินี้ มียักษ์ตนหนึ่งเป็นผู้เฝ้าอยู่ เอ็งจะต้องใช้ความสามารถฆ่ายักษ์ร้ายตนนี้เสียก่อน จึงจะเด็ดดอกนางพญษมะลิดง ซึ่งมีกลิ่นทิพย์ได้ แต่การครั้งนี้เจ้าจะต้องใช้ความสามารถความเก่งกาจอย่างสูง มิฉะนั้นเจ้าจะเป็นอันตรายถึงชีวิตเสียก่อนที่จะได้ดอกมะลิสีแดง ซึ่งเจ้าเด็ดเพียง 3 ดอกเท่านั้น คือ.....
  • ดอกที่ 1 ......หมายถึง........พระพุทธ
  • ดอกที่ 2 ......หมายถึง........พระธรรม
  • ดอกที่ 3 ......หมายถึง........พระสงฆ์
ความเป็นตายของเจ้านั้น อยู่ที่ความเก่งกล้าสามารถของเจ้า ไม่มีใครช่วยได้ เมื่อเจ้ารู้เช่นนี้ ยังจะคิดช่วยนางอีกหรือ"


ภาพจำลอง ประกอบบทความ
ที่มาของภาพ https://pantip.com/topic/31222817
เจ้าหนุ่มกะเหรี่ยงผู้ใจบุญ กลับให้คำมั่นสัญญาอย่างแน่นแฟ้นดังเดิม จ้าวพ่อผาแดงก็อวยพรให้เจ้าหนุ่มมีโชคชัย จากนั้นเจ้าหนุ่มผู้ใจบุญก็เตรียมตัวเดินทางอย่างรัดกุมพร้อมด้วยเสบียงอาหาร และหน้าไม้ อันปลายลูกศรอาบยาพิษ ซึ่งเรียกว่า "ยางน่อง" มีพิษร้ายแรงนัก แม้ช้างป่าถูกเข้าก็จะตายโดยเร็ว 

อ่านต่อ    มะลิสีแดง : นิทานชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่สวนผึ้ง ตอนที่ 2

ที่มาข้อมูล

อ่านต่อ >>

วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2560

สุวรรณภูมิเจดีย์ ณ วัดมหาธาตุ สถานที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตเป็นครั้งแรกในเมืองไทย

ผมได้มีโอกาสอ่านสมุดบันทึกเล่มหนึ่งเรื่อง "สุวรรณภูมิเจดีย์" ซึ่งผู้บันทึกเป็นผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่าทุกคนในราชบุรีในสมัยนั้นรู้จักกันดีและให้ความเคารพนับถือ อดีตท่านเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงอยู่ในแวดวงของการศึกษาของ จ.ราชบุรี  ปัจจุบันท่านเสียชีวิตไปแล้ว ท่านได้บันทึกด้วยลายมือของท่านเองไว้เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2538 ซึ่งสมุดบันทึกเล่มนี้  ได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดี แต่ขออนุญาตไม่บอกว่าอยู่ที่ใด เพราะเป็นไปตามคำสัญญาที่ผมให้ไว้กับผู้เก็บรักษาสมุด



เรื่องราวในสมุดบันทึกเล่มนี้ มีดังนี้
(คัดลอกมาโดยไม่แต่งเติมหรือเรียบเรียงใหม่แต่อย่างใด ภาพประกอบนำมาใส่เอง)

"สุวรรณภูมิเจดีย์"
เมื่อประมาณเดือน พฤษภาคม ปี พ.ศ.2532  ขณะที่ข้าพเจ้าไปควบคุมการก่อสร้างวิหาร ซึ่งข้าพเจ้าได้สร้างถวายวัดมหาธาตุ ได้มีฝรั่งคนหนึ่งในจำนวน 2 คน เดินมาหาข้าพเจ้า ฝรั่งคนนี้พูดภาษาไทยได้ค่อนข้างชัดเจน ส่วนอีกคนหนึ่งพูดไทยไม่ได้ ถามข้าพเจ้าว่า "วัดนี้ ชื่อวัดพระศรีรัตนมหาธาตุใช่หรือไม่" พร้อมกับเปิดหนังสือซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ และชี้คำที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ อ่านได้ความว่า วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี ข้าพเจ้าจึงตอบว่า "ใช่" 

ที่วัดนี้ มีสุวรรณภูมิเจดีย์อยู่ที่ไหน พร้อมทั้งเอานิ้วชี้ที่ในหนังสือภาษาอังกฤษที่เขาถือมา ข้าพเจ้าจึงดูเห็นคำว่า "สุวรรณภูมิ พาโกด้า" ซึ่งตอนนั้น เท่าที่รู้ว่าของเก่าแก่ของวัดก็คือ พระปรางค์ ซึ่งตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดมา ก็เห็นมีแต่พระปรางค์องค์นี้ ข้าพเจ้าจึงชี้ไปยังพระปรางค์ เพราะเข้าใจว่า ฝรั่งผู้นี้ อาจจะเรียกพระปรางค์ตามภาษาบ้านเรา เป็นสุวรรณภูมิเจดีย์

"พระปรางค์วัดมหาธาตุวรวิหาร" อ.เมือง จ.ราชบุรี
ซึ่งฝรั่งบอกว่าไม่ใช่ "สุวรรณภูมิเจดีย์"

แต่ฝรั่งกลับส่ายหน้า และบอกกับข้าพเจ้าว่าไม่ใช่ นี่เพิ่งสร้างมาเมื่อประมาณ 400 กว่าปีเท่านั้น แต่สุวรรณภูมิเจดีย์นั้น สร้างมาพันกว่าปีแล้ว ข้าพเจ้าก็งง บอกฝรั่งไม่ถูกว่า สุวรรณภูมิเจดีย์นั้นอยู่ที่ใด  ก็มานึกถึงคำว่าเจดีย์ ก็เลยบอกว่า มีเจดีย์อยู่ทางด้านหน้าพระอุโบสถอยู่หลายองค์ ฝรั่งจึงขอให้พาไปดู

ข้าพเจ้าจึงพาออกทางประตูด้านข้างที่จะไปพระอุโบสถ พอออกไปก็พบ รถที่พวกเขามาจอดอยู่  เป็นรถตู้สีน้ำตาลไหม้ ฝรั่งคนที่พูดภาษาไทยไม่ได้ ได้ไปที่รถ และเปิดประตูด้านข้างตอนหลังออก ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าในรถมีเครื่องมือถ่ายทำภาพยนตร์อยู่อย่างมากมาย และฝรั่งที่พูดภาษาไทยไม่ได้ ได้ขึ้นไปบนรถ แล้วนำกล้องถ่ายภาพยนตร์ เอาติดตัวไปด้วย ไม่ใช่กล้องถ่ายวิดีโอ ข้าพเจ้าจึงพาเดินต่อไปเข้าประตูรั้วทางด้านพระอุโบสถ พอเดินผ่านประตู ข้าพเจ้าก็ชี้ให้ดูเจดีย์ ที่สร้างเป็นแถวอยู่หน้าพระอุโบสถให้เขาดู  ฝรั่งหัวเราะแล้วบอกว่าไม่ใช่ 

เมื่อฝรั่งบอกว่าไม่ใช่ ข้าพเจ้าก็จนปัญญา เพราะไม่เห็นมีเจดีย์เก่าๆ ที่ไหนอีก จึงบอกว่าไม่มีเจดีย์ ที่อื่นอีกแล้ว มีแต่มณฑปนี้เท่านั้นโดยชี้ให้ฝรั่งดูและพาไปที่มณฑป


มณฑป ตั้งอยู่บริเวณหน้าพระอุโบสถ วัดมหาธาตุวรวิหาร
ที่ฝรั่งบอกว่านี่คือ สุวรรณภุมิเจดีย์

พอฝรั่งเห็นมณฑปก็รีบเดินไปดู เมื่อเขาไปใกล้ตัวมณฑป ผมรู้สึกว่าเขาตื่นเต้นมาก และเดินดูรอบๆ ตัวมณฑป และขึ้นบันไดไปดูข้างบน แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ขึ้นไป เพราะดูเสียเบื่อแล้วจึงคอยอยู่ด้านล่าง และเห็นฝรั่งคนที่พูดภาษาไทยได้ สั่งให้ฝรั่งคนที่ถือกล้องเป็นการใหญ่ โดยถ่ายที่ฐานมณฑป ตัวมณฑปโดยรอบทั้งภายในและภายนอก ตลอดจนประตู หน้าต่าง และบันไดขึ้น

ขณะที่ฝรั่งคนที่มีหน้าที่ถ่ายทำภาพยนตร์นั้น ฝรั่งคนที่พูดภาษาไทยได้ ได้เข้ามาคุยกับข้าพเจ้า อีกครั้งหนึ่ง เขากล่าวขอบคุณข้าพเจ้า ที่เป็นผู้นำเขามาพบกับสุวรรณภูมิเจดีย์ และได้บอกว่าพวกคณะของเขาที่มานี้ เป็นคณะที่จะมาถ่ายทำภาพยนตร์ ชื่อว่า "ตามรอยพระแก้วมรกต" แล้วก็พลิกหนังสือเป็นภาษาอังกฤษที่เขาถือมาขึ้นดู แล้วหันมาบอกกับข้าพเจ้าว่านี่คือ "สุวรรณภูมิเจดีย์" สร้างมาพันกว่าปีแล้ว ทำไมทางวัดจึงไม่รักษาไว้ ปล่อยให้พังหมดน่าเสียดายจริงๆ  และบอกว่าสถานที่นี้ เป็นสถานที่ที่ "พระแก้วมรกต" ได้มาประดิษฐานเป็นครั้งแรกที่สุวรรณภูมิเจดีย์แห่งนี้ เมื่อก่อนที่นี่เป็นเมืองที่มีกษัตริย์ปกครองอยู่  และได้นำเอาพระแก้วมรกตมาประดิษฐานอยู่ และต่อมาพระแก้วมรกตที่ได้ย้ายออกจากราชบุรี ไปประดิษฐานอยู่ที่ไชยา 

พระแก้วมรกต


ข้าพเจ้าเลยสนใจที่อยากจะทราบว่าพระแก้วมรกตไปอยู่ ณ ที่ใดบ้าง

ฝรั่งจึงได้เปิดหนังสือที่เป็นตำราภาษาอังกฤษให้ข้าพเจ้าดู ข้าพเจ้าสนใจมาก จึงขอกระดาษจากฝรั่งและได้จดบันทึกตามที่ปรากฏในหนังสือ ปรากฏว่าพระแก้วมรกตได้ประดิษฐานตามเมืองต่างๆ ตามลำดับ ดังนี้
  1. เมืองราชบุรี
  2. เมืองไชยา
  3. เมืองนครศรีธรรมราช
  4. นครวัต (เขมร)
  5. อยุธยา
  6. เมืองกำแพงเพชร
  7. เมืองเชียงราย
  8. เมืองลำปาง
  9. เมืองเชียงใหม่
  10. เมืองลาว
  11. เมืองธนบุรี (วัดอรุณ)
  12. กรุงเทพฯ
ตามตำราและคำบอกเล่าของฝรั่งผู้นี้  ทำให้ข้าพเจ้าตื่นเต้น และที่ใจที่ได้ทราบว่า พระแก้วมรกตของเราได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดมหาธาตุของเราเป็นแห่งแรก เลยไม่ได้ถามว่าฝรั่งพวกนี้เป็นชาติอะไร มีสำนักงานอยู่ที่ไหน เมื่อเขาไปแล้วจึงนึกได้ว่าเรานี่โง่มากที่ไม่ได้ถามถึงสถานที่อยู่ของเขา  แต่เขาได้เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เขามาจากกรุงเทพฯ และมาถ่ายทำที่ราชบุรี เป็นแห่งแรก สถานที่ต่อไปก็จะไปดูสถานที่และจะถ่ายทำที่ไชยา และจะตามไปถ่ายทำทุกที่ๆ พระแก้วมรกตไปประดิษฐานอยู่ตามลำดับ

สำหรับที่ราชบุรี ข้าพเจ้าเห็นฝรั่งคนที่เป็นคนถ่ายๆ อยู่ประมาณ 30 นาที จากนั้นเขาก็ได้กล่าวขอบคุณข้าพเจ้า และบอกว่าจะเดินทางไปไชยา และทั้งหมดได้ลาข้าพเจ้า และเดินทางต่อไป

วันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าได้เรียนเรื่องนี้ให้ พระเทพวิสุทธิโมรี ทราบ เพราะวันที่ฝรั่งมา ท่านไม่อยู่ ท่านจึงขอให้ข้าพเจ้าทำหนังสือถึงวัด โดยเล่าเรื่อง ของฝรั่งที่มาถ่ายทำภาพยนตร์ให้จังหวัดทราบ ซึ่งในตอนนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัด คือ คุณพีระ บุญจริง และข้าพเจ้าได้ขอให้จังหวัดส่งเรื่องนี้ไปยังอธิบดีกรมศิลปากร ได้ทราบ และขอให้ทางกรมศิลปากร ได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกมาดูว่า จะเป็นความจริงตามที่ฝรั่งบอกเล่าหรือไม่

ต่อมาทางกรมศิลปากร ได้ส่ง คุณหญิงกุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ รองอธิบดีกรมศิลปากรในขณะนั้น ออกมาดู โดยมีเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากรติดตามา 6-7 คน และท่านเจ้าคุณวิสุทธิธีรพงศ์ ได้ต้อนรับ รองอธิบดีในพระอุโบสถ และก็ได้เล่าเรื่องนี้ ให้รองอธิบดีฟังอีกครั้งหนึ่ง

แต่ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า  ทั้งรองอธิบดีและเจ้าหน้าที่ที่มาในวันนั้น ไม่ค่อยเชื่อนัก ต่อมาท่านเจ้าคุณวิสุทธิธีรพงศ์ ได้เชิญรองอธิบดีและคณะออกมาดูสถานที่ ที่ฝรั่งเชื่อว่าเป็นสุวรรณภูมิเจดีย์ ว่าชำรุดทรุดโทรมมากควรจะหาทางซ่อมแซมอย่างไรต่อไป

ในระหว่างที่คณะกรมศิลปากรออกมาดูสถานที่ ได้มีเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากรคนหนึ่งได้มาพูดกับข้าพเจ้าว่า "อาจารย์อย่าไปเชื่อฝรั่งมันมากนัก เพราะเราเป็นคนไทยก็ดูตามประวัติศาสตร์ของเมืองไทยดีกว่า ของเรายังค้นไม่พบว่า พระแก้วมรกตเคยประดิษฐานอยู่ที่เมืองราชบุรี" ซึ่งเป็นคำพูดที่ค้านกับความรู้สึกของข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก เพราะข้าพเจ้าคิดว่า ฝรั่งเขาทำอะไรมักจะเอาจริงเอาจัง มีหลักมีเกณฑ์ และต้องมีหลักฐานที่เขาสามารถที่จะพิสูจน์ได้  ฝรั่งได้อธิบายและชี้ให้ดูหนังสือตำราซึ่งเป็นภาษาอังกฤษตลอดเวลา แม้ว่าศัพท์ภาษาอังกฤษบางคำ ข้าพเจ้าจะแปลไม่ได้ แต่ชื่อเมืองต่างๆ ที่ฝรั่งบอกว่า พระแก้วเคยไปประดิษฐานอยู่ที่ใดบ้างนั้น อ่านได้ชัดเจน  ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าเป็นความจริง แต่นักประวัติศาสตร์ของไทยค้นคว้าไปไม่ถึง ถ้าดูตามประวัติศาสตร์ของไทย พระแก้วมรกตจะอยู่ทางภาคเหนือของไทย แล้วก็ไปอยู่เมืองลาว แล้วก็กลับมาเมืองไทย ซึ่งพวกเราก็รู้กันอยู่แค่นี้ แต่ฝรั่งกลับมีตำรามาให้ค้นคว้าว่า พระแก้วมรกตองค์นี้ อยู่ที่จังหวัดราชบุรีนี้เป็นครั้งแรก และเดินทางไปอยู่ทางภาคใต้

ฝรั่งที่มาถ่ายทำภาพยนตร์นี้ ยืนยันกับข้าพเจ้าว่า องค์พระปรางค์ สร้างมาเพียง 400 กว่าปีเท่านั้น แต่สุวรรณภูมิเจดีย์นี้สร้างมา 1,000 กว่าปีแล้ว

ถ้าตามที่ฝรั่งบอกเล่ามานี้ ต่อไปอาจจะมีข้อพิสูจน์ว่าเป็นความจริงขึ้นมา  เราชาวราชบุรีก็ควรจะภูมิใจว่า องค์พระแก้วมรกตของเรานั้น เคยประดิษฐานอยู่ที่บริเวณวัดมหาธาตุวรวิหารของเราในปัจจุบัน กรมศิลปากรก็ขึ้นทะเบียนไว้ว่าเป็นของเก่าแก่ที่ต้องอนุรักษ์ไว้ แต่กรมศิลปากร ก็ไม่ได้สนใจที่จะอนุรักษ์ และใครจะไปแตะต้องไม่ได้ จะซ่อมแซมก็ไม่ได้ ต่อไปก็จะเป็นกองอิฐ และศิลาแรงกองหนึ่งอย่างแน่นอน ถ้ากรมศิลปากรไม่สนใจที่จะซ่อมแซมไว้ เพราะอย่างน้อย คุณหญิงกุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ ซึ่งต่อมาท่านก็ได้เป็นอธิบดีกรมศิลปากร ก็ไม่ได้สนใจที่จะอนุรักษ์ของสิ่งนี้ไว้ เพราะท่านอาจไม่เชื่อว่าเป็นความจริงก็ได้

มณฑปที่ค่อนข้างชำรุดทรุดโทรม
ด้านบนมณฑป ปิดประตูใส่กุญแจไว้

ข้าพเจ้าบันทึกความจำนี้ไว้ เพื่อเป็นเครื่องยืนยันว่า ข้าพเจ้าได้รับทราบเรื่องราวจากฝรั่งที่มาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "ตามรอยพระแก้วมรกต" ไว้ดังที่กล่าวมาข้างต้น

และขอมอบบันทึกความจำนี้ ให้กับ................................................เก็บรักษาไว้ ถ้าต่อไปในอนาคต เกิดมีหลักฐานอ้างอิงได้ บันทึกความจำอันนี้ ก็จะเป็นเครื่องยืนยันว่า ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ได้ทราบมาอย่างนี้

................ฯลฯ.................................

ผมขอฝากให้ท่านได้ช่วยอนุรักษ์ "สุวรรณภูมิเจดีย์" นี้ อย่าให้พังเป็นเศษอิฐ เศษปูน เลย เอาไว้ให้ลูกหลานได้ดูกันนานๆ โดยขอให้ท่านได้ติดต่อกับกรมศิลปากร เพื่อซ่อมแซมไปตามรูปแบบ เพื่ออนุรักษ์ไว้ด้วยครับผม

ลงชื่อ
(xxxxxxxxx)
8 มีนาคม 2538
(ในขณะที่ผมเขียนบันทึกนี้ ผมมีอายุ 71 ปี)

****************
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่วัดมหาธาตุวรวิหาร ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบึรี เมื่อ 28 ปีมาแล้ว ผมยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เพราะผมรู้จักท่านผู้บันทึก ซึ่งไม่มีเหตุผลใดที่ท่านจะเสกสรรปั้นแต่งเรื่องขึ้นมา แต่ในวันนั้นกรมศิลปากรไม่เชื่อ หากกรมศิลปากรฉุกคิดและให้ความสนใจที่จะค้นคว้าหาหลักฐานกันอย่างจริงจังแล้ว ผมว่าคงไม่ยากนักที่จะค้นหาฝรั่งผู้ถ่ายทำภาพยนตร์ทั้งสองคนนั้น และยังสามารถได้หลักฐานจากหนังสือภาษาอังกฤษเล่มนั้นเพื่อชำระประวัติศาสตร์ที่แท้จริงต่อไปได้

เมื่อพบ "ความรู้อีกด้าน หลักฐานอีกมุม" ประวัติศาสตร์ก็สามารถชำระใหม่ได้

***************************  
อ่านต่อ >>