วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พม่ากับไทย ทีใครทีมัน


บทความนี้ต่อจาก กักไว้ให้หิวโซ แล้วเอาข้าวล่อพม่า

งุยอคงหวุ่นแม่ทัพใหญ่นั้น ได้พิจารณาเห็นว่า ถึงแม้จะถูกล้อมด้วยกำลังที่มากกว่า แต่มีความกล้าหาญอดทนได้ แก้ไขสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา พยายามแหกค่ายปล้นค่ายทหารไทยหลายครั้งหลายหน ในท่ามกลางความอดอยากและสถานการณ์ทั่วๆ ไปเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พอกาลเวลาผ่านไป งุยอคงหวุ่นมองเห็นอนาคตว่าสู้ไม่ไหวแล้ว แพ้นั้นต้องแพ้แน่ แต่กลับกลัวตายในชีวิตตน โดยเห็นว่าการต่อรองในการยอมแพ้และวางอาวุธหลายครั้งหลายคราว จุดมุ่งหมายก็เพียงต้องการยืนยันจากไทยว่า เมื่อยอมแพ้แล้ว ตัวงุยอคงหวุ่นเว้นการถูกฆ่า

ความกลัวตายของแม่ทัพใหญ่พม่า คงจะสำนึกในตัวเองที่กระทำไว้กับคนไทย จึงเกิดความหวาดกลัวว่าจะถูกแก้แค้นจากทหารไทย คนไทยที่ฝังอยู่ในจิตใจด้วยเหตุผลสองประการ
ประการแรก งุยอคงหวุ่นเป็นแม่ทัพมารบกับไทยเมื่อคราวไทยเสียเมืองเมื่อปี พ.ศ.2310 สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจไว้กับคนไทยไม่รู้ลืม รวมทั้งนำกำลังลงมาจับคนไทยค้นหาแย่งชิงทรัพย์สมบัติชาวบ้านจนถูฏล้อมไว้
ประการที่สอง พูดจาเย้ยหยันทหารไทยในระหว่างที่ไทยสร้างค่ายล้อมพม่าที่บ้านบางแก้ว
ข้อความในใบลานที่งุยอคงหวุ่นส่งมาให้ตละเกล็บครั้งแรกเพื่อนำมาให้ฝ่ายไทย เป็นหนังสือทำนองขอร้องในการยอมแพ้ซึ่งเขียนเมื่อ 200 กว่าปีมาแล้ว มีข้อความหนึ่งซึ่งน่าจะทราบไว้ดังนี้
"พระเจ้าปราสาททองกรุงศรีอยุธยากับพระเจ้าช้างเผือก (พม่า) มีบุญญาภินิหารเป็นใหญ่ในชมพูทวีปด้วยกัน และพระมหากษัตริย์ทั้งสองฝ่ายเป็นเวรกัน พระเจ้าช้างเผือกกรุงอังวะให้ข้าพเจ้ากับนายทัพนายกองทั้งปวงมาทำสงครามกับท่านผู้เป็นเสนาบดีในกรุงศรีอยุธยาครั้งนี้ ข้าพเจ้าเสียทีแก่ท่าน ท่านล้อมไว้จะพากันหนีไปก็ไม่ได้แล้ว ถ้าท่านล้อมไว้อย่างนี้ก็มีแต่จะตายอย่างเดียว ไม่ใช่จะตายแต่พวกข้าพเจ้าที่เป็นนายทัพนายกองเท่านั้น จึงไพร่พลทั้งปวงก็จะพลอยตายด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อชีวิตข้าพเจ้าทั้งหลายตายไปเสียแล้ว ใช่ว่าสงครามของพระมหากษัตราธิราชทั้งสองฝ่ายจะเป็นอันเสร็จสิ้นกันเพียงนั้นก็หามิได้ ท่านผู้เป็นเสนาบดีไทยได้ถือน้ำทำชการสนองพระเดชพระคุณตามพระราชกำหนดกฏหมายของพระเจ้าปราสาททองกรุงศรีอยุธยาฉันใด ข้าพเจ้ามาทำสงครามก็ด้วยได้ถือน้ำทำราชการตามพระราชกำหนดกฏหมายของพระเจ้าช้างเผือกกรุงอังวะอย่างเดียวกัน อุปมาเหมือนเป็นแต่เครื่องศัสตราวุธซึ่งพระมหากษัตราธิราชทรงใช้สอยทั้งสองฝ่าย พระพุทธองค์ก็ได้โปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาไว้ว่า อันจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์แต่ละคนนี้ยากนักฉันใด ข้าพเจ้าทั้งหลายจัได้รอดชีวิต ขอบรรดาท่านผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีช่วยพิเคราะห์ดูด้วยเทอญ"
พระเจ้าตากคงจะไม่พอพระทัยที่แม่ทัพใหญ่ต่อรองผัดวันประกันพรุ่งหลายครั้งหลายหน ครั้นวันหนึ่งได้ปรึกษาบรดาแม่ทัพนายกอง แม่ทัพนายกองขอให้ทำการหนักขึ้นโดยใช้กระสุนปืนไม้ระดมยิงเข้าไปในค่าย พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยได้ดำรัสว่า
"ฆ่าให้ตายนั้นง่าย แต่ข้าศึกสิ้นความคิดเช่นนี้แล้วฆ่าเสียก็บาปกรรมเปล่าๆ จับเป็นเอาเถิด"
เพื่อเร่งวันยอมแพ้ พระเจ้าตากจึงได้ทรงให้อุตมสิงหจอจัวมีหนังสือเข้าไปในค่ายพม่าทั้งสามค่ายโดยยืนยันการไม่ฆ่า และยังขู่ไปอีกว่า ถ้าไม่ยอมแพ้เสียโดยเร็วกองทัพไทยจะเข้าตีฆ่าฟันให้ตาย มิให้เหลือเลยแม้แต่คนเดียว
ครั้งวันรุ่งขึ้น นายทัพรองๆ คงทนความอดอยากความหวาดกลัวไม่ไหว เมียนหวุ่น กับ ปกันเลชู นายทัพพม่ากับนายรองๆ อีก 21 คน ได้รวบรวมเครื่องศัสตราวุธพากันออกมาสวามิภักดิ์ อุตมสิงหจอจัว พาเข้าถวายบังคมพระเจ้าตาก นายทัพทั้งสองได้อาสาเข้าไปจะนำตัวงุยอคงหวุ่นกับพวกออกมา
ในวันนั้น งุยอคงหวุ่น แม่ทัพใหญ่พร้อมกับนายทัพรองๆ เนมโยแมงละนรธา ยุยยองโบ่อคงหวุ่นมุงโยะ และนายทัพรองๆ ทั้งหมดออกมาจากค่าย หลังจากนั้นนายทัพไทยก็นำงุยอคงหวุ่นแม่ทัพใหญ่พม่ากับพวกเข้าไปถวายบังคมพระเจ้าตาก ณ กองบัญชาการกองทัพไทย
การรบครั้งนี้พระเจ้าตากทรงใช้เวลา 47 วัน (ตั้งแต่ 13 กุมภาพันธ์ 2317-31 มีนาคม 2317) เผด็จศึกได้โดยเด็ดขาด ได้เชลยทั้งตัวแม่ทัพใหญ่และนายรองตามที่กล่าวมาแล้วกับไพร่พลที่เหลือตายทั้งสามค่ายรวม 1,328 คนกับผู้หญิงอีก 2 คน พม่าตายเสียเมื่อทำการรบระหว่างถูกล้อมมีจำนวน 1,600 คน
ครั้งรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง พระเจ้าตาก มีรับสั่งให้ เจ้าพระยาจักรี ยกทัพขึ้นไปตีค่ายพม่าที่เขาชงุ้ม และให้ พระยาอนุชิตราชา กับหลวงมหาเทพ ยกทัพไปตีค่ายพม่าที่ปากแพรกพร้อมกับ พระยายมราชแขก
ผลที่สุดพม่าที่เขาชงุ้มและปากแพรกก็แตกหรีกระเจิง ถูกฆ่าฟันและจับได้อีกมาก มองจายิดกับตะแคงมรหน่องนายกองค่าย นำทหารเหลือตายหนีเข้าแดนพม่าไปหาอะแซหวุ่นกี้ที่เมาะตะมะ กองทัพไทยไล่ติดตามไปจนสุดพระราชอาณาเขต
ครั้นแล้วพระเจ้าตากทรงให้เลิกทัพกลับคืนพระนคร พร้อมกับพระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่แม่ทัพนายกองผู้ใหญ่ผู้น้อยตามสมควรแก่ความชอบที่มีชัยชนะต่อพม่าข้าศึกในครั้งนี้โดยทั่วกัน
สร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ผู้เขียนรวบรวมการสงครามของพระเจ้าตากในครั้งนี้ เพื่อ
ประการแรก ให้ประชาชนชาวไทยได้ราบวีรกรรมการรบในสมรภูมิ ซึ่งมีพื้นที่อยู่ในจังหวัดราชบุรีและจังหวัดกาญจนบุรี
ประการที่สอง เน้นให้ลูกหลานชาวราชบุรีและกาญจนบุรีได้อ่านได้ศึกษาการรบที่สำคัญยิ่งในดินแดนจังหวัดทั้งสองของเรา และให้ร่วมกันคิดร่วมกันพิจารณาว่า พวกเราน่าจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณต่ออดีตวีรกษัตริย์มหาราชผู้ยิ่งใหญ่ของชาติ
ประการที่สาม ให้ประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศที่มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ได้น้อมระลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อมที่ทรงกู้แผ่นดินให้ลูกหลานได้มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย มีความภาคภูมิใจในฐานะประเทศที่มีเอกราชอิสระเสรีอันยาวนาน
และวันที่ 28 ธันวาคม เป็นวันครบรอบพระราชพิธีราชาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย
ที่มาของบทความ
รวมศักดิ์ ไชยโกมินทร์. (2544). สงครามประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน. (11-15)

ที่มาของภาพ
http://personinhistory.exteen.com/images/6.jpg
http://www.navy.mi.th/sctr/navyinfo/nvi9137/page2.3.jpg
http://xchange.teenee.com/up01/post-6409-1168583371.jpg
อ่านต่อ >>

กักไว้ให้หิวโซ แล้วเอาข้าวล่อพม่า

บทความนี้ต่อจาก ทัพพม่าเย้ยทัพไทยที่บางแก้วราชบุรี


พระเจ้าตาก ได้ทรงทราบจากทหารพม่าที่จับมาได้ว่า การที่ไทยส่งทหารไปรบกวนทำลายเส้นทางลำเลียงส่งเสบียงอาหาร ทำให้พม่าเริ่มอดอยาก

เมื่อทรงทราบเช่นนั้นทรงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง กับได้ข่าวจากทหารไทยที่พม่าจับไปแล้วหนีออกมาได้ว่า พม่าอดอยากถึงกับกินเนื้อช้างเนื้อม้าพาหนะถูกปืนใหญ่ล้มตายเสมอ พระองค์จึงทรงดำริว่าล้อมไว้ให้อดอยาก ทนไม่ได้ก็ต้องออกมาให้จับเป็นเชลย จะทำให้สมน้ำหน้าที่มันเย่อหยิ่งให้จนได้ และดำรัสว่า
"กักมันไว้ให้โซแล้วเอาข้าวล่อเถิด"
พระองค์ทรงปรารถนาจะเสด็จคุมกองทหารออกไปทำการรบตัดทางลำเลียงและกองกำลังของพม่าด้วยพระองค์เอง แต่พระยาเทพอรชุน พระดำเกิงรณภพ ทูลรับขออาสา จึงมีรับสั่งให้พระยาทั้งสองคุมหน่วยกำลังซึ่งมีกองอาจารย์และมนายเลือก (ทนายเลือก หมายถึงพวกนักมวยกองป้องกันพระองค์) 745 คน เป็นกองโจรไปช่วยเจ้าพระยาอินทรอภัย
ทั้งๆ ที่แม่ทัพนายกองคัดค้านและขอปฏิบัติการรบแทน แต่พระองค์ก็ต้องทรงออกศึกนำหน้าทหารออกรบด้วยพระองค์เองจนได้
เหตุเกิดขึ้นเมื่อพม่าที่เขาชงุ้มเข้าปล้นค่ายพระยาสุรสีห์ พม่าทำกลยุทธ์แบบค่ายวิหลั่น (ค่ายวิหลั่น คือการอำพรางกาย ค่อยๆ ขยับรุกเข้ามาหาค่ายไทยทีละน้อย เมื่อถึงจุดที่จะโจมตีก็ปฏิบัติการเข้าโจมตีกันทุกทิศทุกทางเป็นการจู่โจมระยะใกล้) แต่ทหารของเจ้าพระยาสุรสีห์ต่อสู้ป้องกันไว้ได้ ทหารพม่าจึงเข้าปล้นค่ายของ พระยานครสวรรค์ ในคราวต่อมา โดยเข้าปล้นค่ายในยามดึกประมาณตีสาม การรบพันตูระหว่างทหารพม่าและทหารไทยจนถึงค่อนสว่าง
ในเวลานั้น พระเจ้าตากตื่นบรรทมขึ้น ทรงทราบว่าพม่าเข้าตีค่ายพระยานครสวรรค์ ทันใดนั้นจึงรับสั่งให้จัดกองทัพโดยเร็ว ส่วนพระองค์พร้อมด้วยทหารองครักษ์กองหนึ่งกับกำลังรบอีกกองหนึ่ง ทรงขับม้าโลดแล่นออกหน้าตรงมาที่ค่ายพระยานครสวรรค์ พอดีทอดพระเนตรเห็นกองหนุนของพม่า พระองค์ทรงโผนม้าควงพระแสงดาบนำทหารเข้าตีตัด การรบพุ่งอย่างชุลมุนวุ่นวายก็เกิดเป็นสองฝักสองฝ่ายอลหม่านไม่เป็นกระบวน พักเดียวพม่าที่หนุนเข้ามาก็ถูกพระเจ้าตากต่อตีแตกกระจัดกระจายไปสิ้น
ครั้นแล้วพระองค์ก็ทรงนำทหารหวนมาตีกระหนาบทหารพท่าที่กำลังรบอยู่กับทหารของพระยานครสวรรค์จนถึงแปดโมงเช้า ผลที่สุดกองทหารพม่าแตกพ่ายไม่เป็นขบวนหนีกลับเข้าค่ายที่เขาชงุ้ม
ทางงุยอคงหวุ่นแม่ทัพใหญ่ที่ค่ายบางแก้ว ค่ายนี้หลังจากถูกล้อมก็พยายามตีออกมาไม่ได้ รอกองทหารพม่ามาช่วยก็ไม่สำเร็จ เกิดความอดอยากถึงกับฆ่าช้างฆ่าม้ากินกันแล้ว วันหนึ่งงุยอคงหวุ่นให้นายทัพกับทหารอีก 5 คน ออกมาพบเจ้ารามลักษณ์กับเจ้าพระยาจักรี ฝ่ายพม่าพูดวิงวอนขอให้ปล่อยทหารพม่าทั้งหมดกลับบ้าน ฝ่ายเราไม่ยอมแล้วบอกว่า ถ้ารักตัวกลัวชีวิตขอให้ยอมอ่อนน้อมโดยดี นายทัพพม่าขอกลับนำข่าวนี้เข้าไปรายงานแม่ทัพใหญ่ดูก่อน
งุยอคงหวุ่น ให้นายทหารพม่า 7 คนออกมาเจรจาอีก โดยยอมอ่อนน้อมถวายบังคม พร้อมกับถวายช้างม้าและพาหนะเครื่องศัสตราวุธ แต่ขอให้ปล่อยตัวกลับบ้าน
เจ้ารามลักษณ์กับเจ้าพระยาจักรีไม่ยอมและยึดตัวทหารพม่าไว้ 2 คน ปล่อยกลับไป 5 คน เพื่อไปแจ้งแก่แม่ทัพใหญ่พม่า
ความกดดันในกองทัพพม่าจวนถึงจุดระเบิด เพราะในวันนั้น อุตมสิงหจอจัว ปลัดทัพของยุงอคงหวุ่น พานายหมวดนายกอง พม่า 14 คนพร้อมศัสตราวุธของตนมัดแบกออกมาส่งให้ไทย
ฝ่ายไทยได้นำเข้าถวายบังคมพระเจ้าตาก พระองค์โปรดให้พระยารามคุมอุตมสิงหจอจัวกลับไปร้องบอกพวกพม่าในค่ายว่า
"ให้พากันออกมาสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าปราสาททอง พระเจ้าปราสาททองทรงพระกรุณาให้รอดชีวิต"
ทางในค่ายตอบออกมาว่า "ขอปรึกษากันดูก่อน"
การต่อรองด้วยวาจามีหลายครั้งหลายคราว ข้อใหญ่ใจความก็เพียงแค่ขอชีวิตไว้เท่านั้น
อ่านต่อใน พม่ากับไทยทีใครทีมัน


ที่มาบทความ
รวมศักดิ์ ไชยโกมินทร์. (2544). สงครามประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน. (9-10)
ทีมาของภาพ :
http://kingnaresuanmovie.com/images/news_003_sword_001.jpg
http://www.siamlocalnews.com/upload/watnangkav/firstpage/5922-8-3251.gif
อ่านต่อ >>

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทัพพม่าเย้ยทัพไทยที่บางแก้วราชบุรี

บทความนี้ ต่อจาก พระเจ้าตากล้างแค้น ไทย"ล้อม"พม่าที่บางแก้วราชบุรี




จากหนังสือไทยรบพม่า พระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และจากหนังสือเรื่อง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช รวบรวมโดย ประยูร พิศนาคะ ผู้เขียนได้รวบรวมเรื่องราวการรบครั้งนี้เพื่อให้ลูกหลานไทยได้ทราบพอเป็นสังเขป ดังนี้

ทางฝ่ายพม่า อะแซหวุ่นกี้ ยกกองทัพพม่าตามครัวมอญมาถึงเมืองเมาะตะมะ เมื่อทราบว่า พระยาเจ่ง กับหัวหน้าครัวมอญพาครอบครัวหนีมาไทยทางด่านพระเจดีย์สามองค์ จึงให้ ยุงอคงหวุ่น (เคยเป็นแม่ทัพยกมาตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อคราวเสียกรุงครั้งสุดท้าย) ถือพล 5,000 ยกตามครัวมอญลงมาถึงท่าดินแดง (อยู่ระหว่าง อ.ทองผาภูมิ กับ อ.สังขละบุรี ขณะนี้จมอยู่ในอ่างเก็บน้ำเขื่อนเขาแหลม) ได้รบกับกองทัพพระยายมราชแขก พระยายมราชแขกสู้ไม่ได้จึงถอยไปอยู่ที่ปากแพรก (คือเป็นที่พบกันระหว่างแม่น้ำแควน้อยกับแควใหญ่ อยู่ทางทิศตะวันตกของประตูเมืองกาญจนบุรี ซึ่งเป็นต้นน้ำแม่กลอง) งุยอคงหวุ่นจึงตามกองทัพพระยายมราชแขกไปถึงปากแพรก
พระยายมราชแขก รวบรวมกำลังไม่พอจึงทิ้งค่ายหนีมารวมกำลังใหม่ที่บ้านดงรัง (อยู่ในเขต ต.หนองขาว อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี) งุยอคงหวุ่นเมื่อเห็นกองทัพไทยหนีก็ได้ใจ คิดว่าคงไม่มีทหารไทยต่อสู้อีกเสมือนเมื่อชนะไทยในคราวที่แล้ว จึงเริ่มดำเนินการปล้นทรัพย์จับผู้คนในเขตเมืองกาญจนบุรี สุพรรณบุรี และนครชัยศรี โดยกำหนดให้ มองจายิด คุมพล 2,000 เป็นผู้ปฏิบัติและให้ตั้งค่ายอยู่ที่ปากแพรก ส่วนงุยอคงหวุ่นนำพล 3,000 ลงไปทางตะวันตกเฉียงใต้หมายปล้นทรัพย์จับเชลยในแขวงเมืองราชบุรี เมืองสมุทรสงคราม และเมืองเพชรบุรี
ครั้นเมื่อยกมาถึง บ้านบางแก้ว ทราบว่ามีกองทหารไทยตั้งอยู่ที่ราชบุรี งุยอคงหวุ่นจึงตั้งค่ายลงที่บางแก้วสามค่าย ฝ่ายพระองค์จุ้ย ตั้งอยู่ที่เมืองราชบุรี ได้กระแสรับสั่งของพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงแนะนำไปว่า ถ้ากองทัพข้าศึกที่ยกมาไม่ใหญ่หลวงเหลือกำลังให้ชิงทำก่อนอย่าให้โอกาสแก่ข้าศึก (ข้อนี้เป็นยุทธวิธีของพระเจ้ากรุงธนบุรีมาทุกคราว)

เมื่อพระองค์เจ้าจุ้ยทราบว่า พม่าตั้งค่ายอยู่ที่บางแก้วประมาณสัก 3,000 คน เห็นว่าพอจะสู้ได้ และกองทัพกรุงก็กำลังตามเพิ่มเติมออกไป จึงยกกองทัพขึ้นไปตั้งที่ตำบลโคกกระต่าย ในทุ่งธรรมเสน ห่างค่ายพม่าลงมาประมาณ 80 เส้น แล้วให้หลวงมหาเทพ คุมกองหน้าไปตั้งค่ายโอบพม่าข้างด้านตะวันตก และให้กองทัพเจ้ารามลักษณ์ ยกไปตั้งค่ายโอบด้านตะวันออก แล้วบอกความเข้ามายังกรุงธนบุรี พระเจ้าตากทรงเร่งรัดกองทัพให้ยกไปเมืองราชบุรี ครั้งเสด็จถึงพระองค์เจ้าจุ้ย มาเฝ้ากราบทูลว่า
"ครั้งนี้พม่าดูหมิ่นไทยยิ่งนัก เมื่อหลวงมหาเทพไปตั้งค่ายโอบ พม่าพากันดูเล่นแล้วร้องถามออกมาจากค่ายว่า ตั้งค่ายแล้วหรือยัง ให้ตั้งค่ายเสียให้เสร็จ พม่าจะรอให้ไทยไปพร้อมกันจึงยกออกมาตีจะได้จับเชลยได้มากๆ ในคราวเดียวกัน" พระเจ้าตากได้ทรงฟังมีความขัดเคืองยิ่งนัก
หลังจากนั้นพระองค์ได้เสด็จยกทัพหลวงจากเมืองราชบุรีไปฟากตะวันตก และตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลเขาพระ เหนือโคกกระต่าย ขึ้นไปประมาณ 40 เส้น พระเจ้าตากเสด็จทอดพระเนตรพิจารณาภูมิประเทศแล้ว จึงมีรับสั่งให้ตั้งค่ายล้อมพม่าอีกจนรอบกับให้ พระยาอินทรอภัย ไปตั้งรักษาหนองน้ำที่ เขาชั่วพราน (ชาวบ้านเรียกเขาช่องพราน) อันเป็นที่ข้าศึกอาศัยเลี้ยงช้างม้าพาหนะ และเป็นเส้นทางลำเลียงเสบียงอาหารของพม่า กับให้พระยารามัญวงศ์ คุมกองทหารมอญไปรักษาหนองน้ำที่ เขาชงุ้ม ซึ่งอยู่ในเส้นทางลำเลียงของข้าศึกไปทางเหนือ
ฝ่ายงุยอคงหวุ่น แม่ทัพพม่าเห็นกองทัพไทยตั้งล้อมแข็งแรงขึ้นจะนิ่งเฉยตามคำเยาะเย้ยไม่ได้เสียแล้ว ค่ำวันหนึ่งจึงจัดทหารเข้าปล้นค่ายทหารไทย ทหารไทยตีพม่าแตกกลับไป ปล้นครั้งที่ 2 ก็แตกกลับอีก ครั้งที่ 3 ให้ เนมิโยแมงละนรทา นายรองนำกำลังเข้าปล้นค่ายอีกในคืนเดียวกัน และกำลังส่วนนี้ก็แตกหนีไปอีกเช่นเคย เสียรี้พลล้มตายเจ็บป่วยเป็นอันมาก ไทยจับเป็นเชลยได้ก็มี งุยอคงหวุ่นเห็นทหารไทยรบกล้าหาญกว่าที่ตนเคยคิดไว้ และมีกำลังมากกว่าที่คาดคะเน จึงแต่งทหารเร็วเล็ดลอดไปบอกกองทหารพม่าที่ปากแพรก
ช่วงเวลานี้เอง อะแซหวุ่นกี้ คอยกองทัพงุยอคงหวุ่นที่เมาะตะมะ เห็นหายไปเกินกำหนดจึงให้ ตะแคงมรหน่อง เชื้อพระวงศ์พระเจ้าอังวะคุมพล 3,000 ยกตามลงมา เมื่อถึงปากแพรกจึงทารบจากมองจายิด ว่า กองทหารของงุยอคงหวุ่นภูกทหารไทยล้อมไว้ที่บางแก้ว จึงรีบให้มองจายิดรีบยกกำลังลงมาช่วยโดยด่วน ส่วนตัวตะแคงมรหน่องนำกำลังไปตีค่ายพระยายมราชแขกที่บ้านดงรัง หนองขาว เข้าตีทหารไทยไม่แตกจึงถอยไปตั้งอยู่ที่ปากแพรก เมื่อมองจายิดยกกำลังาช่วยงุยอคงหวุ่น แม่ทัพทั้งสองได้โจมตีค่ายทหารไทยเพื่อที่จะหักออกไปจากที่ล้อมอีกหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ
ในช่วงเวลานี้เอง เจ้าพระยาจักรี ยกกองทัพกลับมาจากเชียงใหม่ ในเวลาไล่เลี่ยกัน เจ้าพระยาสุรสีห์ คุมกองทัพหัวเมืองเข้าไปช่วย พระเจ้าตาก ทรงมอบให้เจ้าพระยาจักรีขึ้นไปบัญชาการล้อมค่ายเพิ่มเติมที่บางแก้ว ให้เจ้าพระยาสุรสีห์ คุมกองทัพหัวเมืองทั้งปวงไปล้อมประชิดค่ายพม่าที่เขาชงุ้ม กันไว้อย่าให้ติดต่อหรือลงมาช่วยค่ายพม่าที่บางแก้วได้

อ่านต่อใน กักไว้ให้หิวโซ แล้วเอาข้าวล่อพม่า

************************
ที่มา : รวมศักดิ์ ไชยโกมินทร์. (2544). สงครามประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน. หน้า 5-9.
อ่านต่อ >>