แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กะเหรี่ยง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ กะเหรี่ยง แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

มะลิสีแดง : นิทานชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่สวนผึ้ง ตอนที่ 2

ต่อจาก  มะลิสีแดง : นิทานชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่สวนผึ้ง ตอนที่ 1

อันเขาแดน ซึ่งอยู่ชายแดนเป็นที่ตั้งของดงมะลิมหึมา มีโคมะลิดอกสีแดงเป็นนางพญามะลินั้น มีระยะห่างจากบ้านเจ้าหนุ่มอั้งเป็นระยะทางเดิน 3 วัน 3 คืน เป็นที่ร่ำลือกันถึงสัตว์ดุร้ายอย่างที่สุด พวกพรานไพรหาสามารถบุกเข้าไปล่าสัตว์ไม่ เพราะปรากฏว่าต้องถูกโขลงช้างป่า และเสือหมีไล่ทำร้ายบาดเจ็บล้มตายไป หลายคนรู้กันดีทั้งป่า แต่เจ้าหนุ่มอั้งผู้ไม่เคยทำร้ายสัตว์ก็หาหวาดหวั่นไม่ เขาพร้อมจะสละชีวิตเพื่อช่วยชีวิตสาวที่ตนหลงรัก


สองวันแรกแห่งการเดินทาง ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอตกวันที่สามตอนสาย เมื่อเจ้าหนุ่มเดินทางถึงดงไผ่ก็เผชิญเข้ากับ ช้างโขลงใหญ่หลายสิบตัวหัวหน้าโขลงมี "ห้างด้วน" ซึ่งเป็นโขลงที่ดุร้ายที่สุด ชาวกะเหรี่ยงรู้จักพิษสงของฝูกอีด้วนดี 


ภาพจำลอง ประกอบบทความ
ที่มาของภาพ http://mediastudio.co.th/2017/04/26/144454/

โขลงอีด้วน นั้น ได้กลิ่นมนุษย์แต่ไกล มันต่างก็อุบเงียบอยู่ในดงไผ่ด้วยความอาฆาตมาดร้าย เพราะพวกของมันหลายตัว ได้ถูกพรานกะเหรี่ยงยิงด้วยปืนและหน้าไม้อาบยางน่อง บาดเจ็บล้มตายไปจำนวนมาก โขลงอีด้วนจึงมีความพยาบาทพวกมนุษย์อย่างสาหัส พบเมื่อใดมันเป็นเล่นงานเอาชีวิจเมื่อนั้น ณ ป่าใหญ่เขาแดนอาณษบริเวณนี้คือ บ้านเมืองของโขลงอีด้วน พรานไพรรู้จักดี หามีใครสามารถบุกเข้ามาล่าถึงรังของมันได้ จึงเมื่อมีมนุษย์กล้าบ้าบิ่นอาจหาญบุกเข้ามาจนถึงรังของมันแต่ผู้เดียวเช่นนี้ โขลงอีด้วน จึงพากันซุ่มอยู่อย่างเงียบงำ มั่นมั่นหมายว่าจะล้อมกรอบบดขยี้มนุษย์ศัตรูตัวฉกาจของมันให้จงได้ เพราะมันอยู่ใต้ลมได้กลิ่นมนุษย์แต่ไกล



ฝ่ายเจ้าหนุ่มกะเหรี่ยงผู้สืบตระกูลใจบุญ ไม่เคยฆ่าสัตว์ไพร ไม่เคยทำร้ายสัตว์ไพรบาดเจ็บ แหละแม้แต่จะคิดทำร้ายก็ไม่เคย ได้เดินเข้าใกล้ดงไผ่ป่ามหึมา เห็นรอยเท้าช้างป่าเกลื่อนบริเวณนั้น จึงหยุดพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็รู้ทันทีว่า โขลงช้างป่าคงจะอยู่ในอาณาบริเวณดงไผ่เป็นแน่ เพราะสังเกตจากรอยตีนที่ย่ำดินเป็ฯรอยใหม่ ต้นไม้เล็กๆ ที่ถูกเหยียบตายยังมีใบเขียวสดเป็นการบอกให้รู้ชัดเจนว่า โขลงช้างป่าเพิ่งจะเหยียบผ่านไปไม่นานนัก เพราะต้นหญ้าที่ถูกช้างเหยียบนั้นหากข้ามวันข้ามคืน ก็จะแห้งไปตามกาลเวลา ซึ่งเจ้าหนุ่มกะเหรี่ยงแม้ไม่ช่ำชองทางพรานไพร แต่ก็มีความรู้เรื่องนี้ดี


"หน้าไม้" ภาพจำลอง ประกอบบทความ
ที่มาของภาพ : http://tainaplajad.blogspot.com/2014/02/blog-post_20.html

จึงเมื่อรู้ได้เช่นนี้ เจ้าหนุ่มก็เริ่มใช้ความสังเกตป่าอย่างระมัดระวัง หยุดพักสูบยาพ่นควันดูลม เห็นควันยาลอยจากตนเข้าดงไผ่ก็รู้ได้ทันทีว่า ตนกำลังอยู่ในความเสียเปรียบโขลงช้างไพร เพราะตนเป็นฝ่ายอยู่เหนือลม ช้างไพรเป็นฝ่ายอยู๋ใต้ลม ซึ่งมันจะสูดกลิ่นตนรู้ได้แต่ไกล เจ้าหนุ่มผู้ใจบุญจึงหยิบหน้าไม้ออกมาขึ้นใส่ลูกดอกอาบยาพิษลงในราง พร้อมจะยิงในทันทีเมื่อช้างป่าออกมาทำร้าย พลางก็พิจารณาดูทำเลทางหนีไว้ก่อน เพื่อความไม่ประมาท พิจารณาเห็นว่าอาณาบริเวณนั้นไม่มีต้นไม้ใหญ่ พอจะขึ้นหลบช้างไพรได้ คงมีแต่ภูฌขาลูกใกล้ๆ เท่านั้นที่จะใช้หลบภัยได้ เจ้าหนุ่มจึงรีบเดินทางเข้าใกล้ภูเขาอย่างเร็วจี๋ เพราะชักผิดสังเกตุอะไรบ้างอย่าง เป็นเรื่องสังหรณ์ใจ

ฝ่ายหัวหน้าโขลงอีด้วนอันดุร้าย ซึ่งซุ่มเงียบงำในป่ารก จับตาเขม้นมองการเคลื่อนไหวของมนุษย์ศัตรูร้ายอย่างอาฆาต ครั้งเห็นมนุษญ์ทำอาการอย่างดังนั้น กู้รู้ทันทีว่ามนุษย์คนนี้ ไหวพริบดีมีความระมัดระวังตัวเป็นเลิศ จะรอช้าไม่ได้ มันจึงแผดเสียงแปร๋นขึ้น เสียงดังสะท้านก้องทั้งป่า เป็นอาณัติสัญญาณลูกโขลงให้เปิดฉากล้อมกรอบบดขยี้มนุษย์ศัตรูตัวร้าย พลางก็นำโขลงพุ่งเข้าใส่มนุษย์ทันที ลูกโขลงหลายสิบตัวต่างก็แผดเสียงร้องดังสะท้านไปทั้งป่า ดาหน้ากันเข้าหาเหยื่อเสียงอื้ออึงปานแผ่นดินจะถล่ม ค่างลิงชะนีตกใจกระโจนร้องลั่นบนยอดไม้  
อ่านต่อ >>

มะลิสีแดง : นิทานชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่สวนผึ้ง ตอนที่ 1

ผู้เขียนได้ไปพบหนังสือเก่าของบิดา (นายสละ จันทรวงศ์) เล่มหนึ่ง ชื่อว่า "นิทานชาวเขาเผากะเหรี่ยง" มีนิทานเขียนไว้ จำนวน 17 เรื่อง รวบรวบโดย วิจิตร ขุมทรัพย์ จัดพิมพ์และจำหน่ายโดย สำนักพิมพ์ธรรมบรรณาคาร พระนคร เมื่อปี พ.ศ.2514 ราคาเล่มละ 14 บาท  มีนิทานอยู่หลายเรื่องเกี่ยวข้องกับชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงแถบ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เช่น เรื่อง มะลิสีแดง นี้ ผู้เขียนจึงขออนุญาตนำมาเขียนไว้ในบล็อกนี้ ตามเนื้อหาเดิม โดยไม่ได้ตัดต่อใดๆ ดังนี้


มะลิสีแดง
ที่มาของเรื่องคือ....บ้าน "บางคะยู" ชายแดนพม่า ติดกับทิศตะวันตกของ ต.สวนผึ้ง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี

ในบรรดาชาวเขาเผ่าต่างๆ นั้น เผ่าซึ่งได้รับการยกย่องอย่างสูงว่าเป็นเผ่าที่ทำการล่าสัตว์ได้อย่างเก่งฉกาจ คือ เผ่ามูเซอ และเผ่ากะเหรี่ยง สองเผ่านี้ยึดเอาอาชีพล่าสัตว์เป็นอาชีพสำคัญยิ่งของชีวิต

ณ หมู่บ้าน "บางคะยู" ชายแดนพม่าอุดมไปด้วยสัตว์ป่า ทั้งดุร้ายและไม่ดุ ผู้ชายชาวกะเหรี่ยงส่วนมากยึดเอาอาชีพล่าสัตว์ ส่วนผู้หญิงทำไร่ ยังมีตระกูลหนึ่งมีความดีประจำตระกูลสืบมา ความดีนั้น คือ ไม่นิยมการล่าสัตว์ตัดชีวิต ยึดอาชีพทำไร่หาของป่าขายเป็นอาชีพ

ครั้งหนึ่งลูกสาวสวยของหัวหน้าหมู่บ้าน เกิดป่วยเป็นไข้ป่าอย่างแรง หมอประจำหมู่บ้านรักษาจนหมดความสามารถก็ไม่หาย มีแต่ทรุดลงทุกขณะ หัวหน้าหมู่บ้านซึ่งชื่อ "เอิ่ง" จึงประกาศว่า หากผู้ใดรักษานางอ่อง ลูกสาวแกหายจากอาการป่วยไข้ได้แล้ว แกยินดียก "นางอ่อง" ให้เป็นภรรยา  ข่าวนี้กระจายไปทั้งแคว้นกะเหรี่ยง บรรดาหมอมีชื่อจากหมู่บ้านต่างๆ หวังจะได้ลูกสาวสวยของหัวหน้าหมู่บ้านผู้ร่ำรวยเป็นภรรยาก็พาเดินทางมารักษา แต่ก็หามีใครเก่งกาจรักษาอาการป่วยของสาวสวยให้หายได้ไม่

ยังมีเจ้าหนุ่มหนึ่ง เป็นทุกข์เป็นร้อนในอาการป่วยของสาวสวยอ่องยิ่งนัก เจ้าหนุ่มผู้นี้ชื่อ "อั้ง" ซึ่งสืบตระกูลผู้ไม่นิยมการล่าสัตว์ตัดชีวิตนั่นเอง เกรงว่านางอ่องที่ตนหลงรักจะตายจากไปเสีย เจ้าหนุ่มจึงไปยังขุนเขาผาแดง อันมี "จ้าวพ่อผาแดง" สิงสถิตอยู่ จ้าวพ่อผาแดงนี้ เป็นที่เคารพนับถือของชาวกะเหรี่ยง ทั้งแคว้น

เมื่อไปถึงขุนเขาจ้าวพ่อผาแดง เจ้าหนุ่มอั้งก็กราบไหว้จ้าวพ่อ บรรยายความในใจที่ตนหลงรักสาวอ่อง ของให้จ้าวพ่อช่วยเหลือให้ตนรู้วิธีจะรักษาสาวอ่องให้หายจากไข้ด้วยเถิด ตนนี้มีความรักในสาวอ่องอย่างซื่อสัตย์แน่นหนา หากสาวอ่องถึงแก่ความตายตนจะขอโดดหน้าผาตายตาม ไม่ขอมีชีวิตอยู๋สืบไป 

จ้าวพ่อผาแดง ได้ฟังคำอ้อนวอนของเจ้าหนุ่มผู้มีความประพฤติดี ไม่นิยมการทำบาปฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทารุณโหดร้ายแก่สัตว์ไพร เช่นชาวกะเหรี่ยงทั้งหลาย ก็มีความสงสารใคร่จะช่วยเหลือ ตามคำวิงวอนบนบานศาลกล่าว ของเจ้าหนุ่มประพฤติดี มีจิตใจเมตตาสัตว์ แต่จะให้เจ้าหนุ่มสำเร็จผลโดยง่ายก็ไม่สมควร จำจะต้องทดลองจิตใจเจ้าหนุ่มเสียก่อน จึงบันดาลให้เกิดเสียงงเข้าช่องหูเจ้าหนุ่มผู้มีจิตใจเมตตาสัตว์ไพร ว่า....

"ดูก่อน เจ้าหนุ่มน้อย ข้าเป็นเทวดารักษาป่านี้ รู้แล้วว่าเอ็งนั้นมีความประพฤติดี ไม่โหดร้ายทารุณต่อสัตว์ไพรร่วมโลก เหมือนชาวกะเหรี่ยงทั้งหลายที่ยึดเอาการทารุณโหดร้ายแก่สัตว์เป็นอาชีพ ซึ่งมนุษย์ที่มีความประพฤติดีเยี่ยงตระกูลใจบุญเช่นนี้ เทวดาจ้าวป่าจ้าวเขาย่อมจะรักษา 

ข้าจะช่วยเองได้ แต่เอ็งจะต้องกระทำให้เห็นว่า เอ็งนั้นรักนางอ่องยิ่งชีวิต เอ็งจะต้องฝ่าอันตรายอย่างร้ายแรง ในการจะช่วยชีวิตนางอ่อง ข้าอยากรู้ว่าเอ็งจะกล้าผจญกับความตาวครั้งนี้หรือไม่"

เจ้าหนุ่มอั้งผู้มีใจบุญ ไม่ทารุณโหดร้ายต่อสัตว์ไพร ได้ยินเสียงจ้าวพ่อผาแดงหวิวๆ ในช่องหู ไม่เห็นร่างของท่านก็ถึงแก่ขนลุกซู่ รีบกราบลงอีกสามครั้ง เอ่ยรับรองด้วยเสียงหนักแน่น จากความจริงใจว่า

"จ้าวพ่อที่เคารพนับถือของข้าและของชาวกะเหรี่ยงทั้งแคว้น ข้อขอให้คำมั่นสัญญาแก่จ้าวพ่อด้วยความสัตย์จริงว่า ข้ารักนางอ่องยิ่งชีวิต ถึงแม้จะเสี่ยงอันตรายร้ายแรงอย่างใด ในการรักษาให้นางหาย ข้าเต็มใจฝ่าความตายอย่างจริงใจ ขอให้จ้าวพ่อมีคำสั่งมาเถิด ข้าจะทำตามทันที"

เมื่อเจ้าหนุ่มใจบุญกล่าวจบ ก็มีเสียงหวิวๆ ในชองหูว่า

"ถ้าอย่างนั้นแล้ว เอ็งจงเดินทางไปยัง "หุบมะลิป่า" ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก ระหว่างทางเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เอ็งจะต้องใช้ความเก่งกล้าต่อสู้กับมัน แล้วหลบหลีกไปจนถึง "หุบมะลิป่า" อันเป็นดงมะลิใหญ่ อยู่ระหว่างเขาแดน ยามราตรีอาณาบริเวณนั้นจะหอมระรื่นไปด้วยกลิ่นมะลิ และมี "โคตัวมะลิ" หรือนางพญษมะลิไพร ขึ้นอยู่กลางดง นางพญษมะลิไพรนี้ หาได้มีดอกสีขาวเหมือนดอกมะลิทั้งหลายไม่ คือ มีดอกสีแดง และมีกลิ่นหอมอย่างวิเศษ อันกลิ่นหอมของนางพญามะลิดงนี้ สามารถจะรักษาไข้ทั้งปวงให้หายได้ในทันทีที่คนไข้ได้สูดดม ทว่ารอบดงมะลินี้ มียักษ์ตนหนึ่งเป็นผู้เฝ้าอยู่ เอ็งจะต้องใช้ความสามารถฆ่ายักษ์ร้ายตนนี้เสียก่อน จึงจะเด็ดดอกนางพญษมะลิดง ซึ่งมีกลิ่นทิพย์ได้ แต่การครั้งนี้เจ้าจะต้องใช้ความสามารถความเก่งกาจอย่างสูง มิฉะนั้นเจ้าจะเป็นอันตรายถึงชีวิตเสียก่อนที่จะได้ดอกมะลิสีแดง ซึ่งเจ้าเด็ดเพียง 3 ดอกเท่านั้น คือ.....
  • ดอกที่ 1 ......หมายถึง........พระพุทธ
  • ดอกที่ 2 ......หมายถึง........พระธรรม
  • ดอกที่ 3 ......หมายถึง........พระสงฆ์
ความเป็นตายของเจ้านั้น อยู่ที่ความเก่งกล้าสามารถของเจ้า ไม่มีใครช่วยได้ เมื่อเจ้ารู้เช่นนี้ ยังจะคิดช่วยนางอีกหรือ"


ภาพจำลอง ประกอบบทความ
ที่มาของภาพ https://pantip.com/topic/31222817
เจ้าหนุ่มกะเหรี่ยงผู้ใจบุญ กลับให้คำมั่นสัญญาอย่างแน่นแฟ้นดังเดิม จ้าวพ่อผาแดงก็อวยพรให้เจ้าหนุ่มมีโชคชัย จากนั้นเจ้าหนุ่มผู้ใจบุญก็เตรียมตัวเดินทางอย่างรัดกุมพร้อมด้วยเสบียงอาหาร และหน้าไม้ อันปลายลูกศรอาบยาพิษ ซึ่งเรียกว่า "ยางน่อง" มีพิษร้ายแรงนัก แม้ช้างป่าถูกเข้าก็จะตายโดยเร็ว 

อ่านต่อ    มะลิสีแดง : นิทานชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงที่สวนผึ้ง ตอนที่ 2

ที่มาข้อมูล

อ่านต่อ >>

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

นิทานชาวกะเหรี่ยง "หนั่งแว่น"

นิทานเรื่อง "หนั่งแว่น" นี้ เป็นวรรณกรรมพื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยง ในพื้นที่ จ.ราชบุรี ซึ่งเล่าสืบต่อกันมาเพื่อใช้เป็นแนวทางในการสอนลูกหลาน ในบทความนี้เป็นการเล่าโดย นางไก่ ทึงลึง อายุ 67 ปี (เมื่อ พ.ศ.2543) บ้านอยู่ อ.สวนผึ้ง จ.ราชบรุี  ถูกบันทึกไว้ในหนังสือวัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดราชบุรี ผมได้คัดลอกมาบันทึกไว้ในบล็อกนี้ เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลทางการศึกษาในโลกออนไลน์อีกทางหนึ่ง นิทานเรื่องนี้ ความว่า.......

ภาพจำลองประกอบบทความ
ที่มา :
http://board.postjung.com/
m/532269.html
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายคนหนึ่งนามว่า "หนั่งแว่น" ซึ่งเป็นคนขยัน  วันหนึ่งเขาขึ้นไปตัดต้นไม้ที่มีตีนเขาแล้วจุดไฟ  เขาคิดจะทำไร่ จึงได้เอาข้าวโพดไปปลูก และเมื่อข้าวโพดออกลูก เสือสมิงจึงกินหมด  หนั่งแว่นจึงโกรธมาก ได้เอากับดักมาดักเสือสมิง เมื่อดักเสร็จแล้วก็กลับบ้านไป  

เมื่อเสือสมิงมากินข้าวโพด ไม่ทันมองลงพื้นจึงโดนกับดักของหนั่งแว่น และเสือสมิงโกรธมากจึงถามต้นไม้ว่า "ใครเอากับดักมาวางดักตน" ต้นไม้จึงบอกว่า "คนที่มาดักกับดักนี้ชื่อหนั่งแว่น" เสือสมิงอาฆาตหนั่งแว่นมากจึงบอกพรรคพวกว่าตนจะคอยกินหนั่งแว่นตรงที่นี่ละ

วันต่อมา ขณะที่หนั่งแว่นเดินลงบันไดไปนั้น ได้จามออกมาระหว่างก้าวลงบันได ซึ่งโบราณถือว่า "จามขณะลงบันไดให้หยุดการเดินทางสามวันเพราะจะเกิดเรื่องร้าย" หนั่งแว่นจึงต้องอยู่บ้านสามวัน วันสุดท้ายเขาก็ไม่ถือจึงคิดจะไปที่ไร่ ขณะที่ก้าวลงบันไดนั้นยังจามอยู่ เขาก็เลยไปไม่สนใจคำถือแล้ว

เมื่อมาถึงไร่ หนั่งแว่นก็ได้ยินเสียงเสือสมิงหาวดัง ฮ้าว...และพูดขึ้นว่า เฝ้าหนั่งแว่นมาเจ็ดคืนแล้วนะแต่ไม่เห็นเขามาเลย เราควรกลับได้แล้วนะ หนั่งแว่นเมื่อได้ยินเสียงเสือสมิง และเห็นตัวเสือสมิงก็กลัวจึงรีบวิ่งกลับบ้าน พอถึงบ้านก็พูดกับตัวเองว่า "ถ้าเราไปไร่เร็วกว่านี้เราคงโดนเสือสมิงกินแน่ๆ เลย"

หลังจากนั้นหนั่งแว่นก็ไม่ไปที่ไร่ข้าวโพดอีกเพราะกลัวเสือสมิง แล้วเขาก็ไปทำไร่ที่อื่น เขาดำเนินชีวิตไปด้วยความสุขหลังจากไปทำไร่ที่อื่น


**********************************************
ที่มา :
คณะกรรมการอำนวยการโครงการจัดทำหนังสือ เรื่อง "วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์ และภูมิปัญญา". (2543). หนังสือวัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญาจังหวัดราชบุรี. กรมศิลปากร : องค์การค้าของคุรุสภา.(หน้า 162). (ดูภาพหนังสือ)
อ่านต่อ >>

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ท่องเที่ยวบ้านเรา แนวเขาตะนาวศรี ถิ่นคนดีชายแดน

     สาวกะเหรี่ยง       เคียงถิ่น         ตะนาวศรี    
     ลำภาชี               แก่งส้มแมว     แนวติดผา
     ธารน้ำร้อน         บ่อคลึง           ตรึงติดตา             
     น้ำผึ้งป่า             หวานซึ้ง         ติดตรึงใจ
ห่างหายไปนานพอดู  แต่พอมีเวลาอยู่บ้างก็ขยับนิ้วมาบอกเล่าเรื่องราวของแนวป่าเขา ลำเนาไพร  จากการที่ได้สัมผัสกลิ่นไอของธรรมชาติบ้านเรา   ผู้เขียนเคยได้มาใช้ชีวิตทำงานอยู่ช่วงหนึ่ง ก็พอที่จะรู้จักเส้นทางอยู่บ้าง และก็มีน้อง ๆ ทำงานอยู่ในที่ที่จะบอกเล่าความสวยงามของ  ห้วยอะนะ ดินแดนที่มีมนต์เสน่ห์ แห่งนี้ ไปกันเลยค่ะ  ถ้าออกจากตัวจังหวัดราชบุรี ก็ตรงไปยังอำเภอสวนผึ้งเลย ระยะทางราว  60 กม.เลี้ยวซ้าย หน้าอำเภอสวนผึ้ง ไปตามทางหลวงชนบทสายห้วยม่วง  แล้วแยกไปบ้านห้วยน้ำหนัก ตัวสถานีอยู่ตรงห้วยนำหนัก ที่ว่านี่แหละค่ะ

ครั้งหนึ่งเคยไปเยี่ยมค่ายลูกเสือที่ห้วยอะนะแห่งนี้  ก็แปลกใจว่า เราเองคนราชบุรีแท้ ๆ ยังไปไม่ทั่วราชบุรีเลยจริงๆ ดังเขาว่า  จำได้ว่าออกจากบ้านคา เวลาก็ใกล้ค่ำแล้ว เมื่อครั้งนั้นทำงานอยู่ที่โป่งกระทิงน้อง ๆชวนไปเยี่ยมค่ายลูกเสือของโรงเรียนใกล้เคียง ก็ไปกับเขา  พอไปถึงสวนผึ้ง รถก็เลี้ยวเข้าทางหลวงชนบทบ้านบ่อ- ห้วยม่วง ระยะทางประมาณ 26 กม.  รถวิ่งผ่านโบสถ์คริสต์ไปอ่างเก็บน้ำห้วยอะนะ อีกประมาณ 5 กม.สุดทางก็มองเห็นป้าย  สถานีพัฒนาและส่งเสริมการอนุรักษ์สัตว์ป่า และพันธ์พืช  รู้สึกได้ถึงไอความเย็นของน้ำ   พอรุ่งเช้าสิ่งที่ได้เห็นมั่นช่างวิเศษจริง ๆ เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ เนื้อที่ประมาณเป็น 1000 ไร่น่าจะได้ค่ะ  โอบล้อมไปด้วยขุนเขา   สอบถามน้อง ๆ เจ้าหน้าที่ เขาบอกว่าอยู่ห่างจากประเทศพม่า แค่ 7 กม.เท่านั้น  หน้าฝนจะมีฝนตกชุกมาก  น้ำหลาก และเป็นที่มาของคำว่า  "อะนะ"ซึ่งเป็นภาษากะเหรี่ยง หมายถึงน้ำมาก น้ำหลาก ความลำบาก  ทำนองนี้แหละค่ะ  เห็นด้วยอย่างไม่ท้วงติง ทั้งไกลทั้งลำบาก  แต่แล้วก็มีสิ่งประทับใจ  จนมาถึงทุกวันนี้ไม่เคยลืมห้วยอะนะ ตอนที่เราได้เดินทางศึกษาธรรมชาติ ร่มรื่น มาก เดินเท้า  และนั่งเรือ เลียบริมห้วย   ป่าอุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่าหลายชนิดยังมีไห้เราได้เห็น รวมถึงดอกไม้ป่านานาพันธ์ บรรยายไม่หมดหรอกนะคะ ต้องไปดูด้วยตา สัมผัสด้วยใจ จะได้บรรยากาศมากกว่าหลายเท่า 
เส้นทาง มี 2  เส้นทางจำได้ว่าเป็นเส้นทางเห็ดโคน  เพราะ 2 ข้างทางมีจอมปลวกมากมาย  ที่ไหนมีปลวกที่นั่นมีเห็ดโคน      (เพราะอะไร ) อีกเส้นทางหนึ่ง ต้องนั่งเรือ เลียบอ่างเก็บน้ำ ประมาณ 3 กม.

กิจกรรมนี้เพื่อให้น้อง ๆรัก และหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติของเรา  (เหมาะกับน้อง ๆ ระดับชั้นมัธยม )
นอกจากนี้ก็ยังมีเรือนรับรอง  ห้องประชุม ลานกิจกรรม เต้นท์ ไว้ให้บริการนักท่องเที่ยวด้วย ถ้าไปหน้าหนาว เย็นถึงกระดูกเลยนะ จะบอกให้ แนะนำว่าคู่รักนะเหมาะ  น้ำผึ้งป่าหวานแท้ ๆ  และยังมีการตกปลาได้ด้วย ปลาส่วนใหญ่ ก็ปลายี่สก ปลานวลจันทร์  นั่งแพตกปลา ได้บรรยากาศตอนอาทิตย์จะลับเหลี่ยมเขา  ที่เล่ามานี้ เป็นเพียงช่วงสั้น ๆ คิดอยู่เสมอว่า ถ้าได้มีโอกาส จะกลับไปเยือนอีกสักครั้ง

อีกสิ่งหนึ่งที่ชอบ สำหรับคนดนตรี  ในยามค่ำคืน ก้จะมีเสียงเพลงจาก วงอะนะแบนด์  เป็นดนตรีที่ช่วยประชาสัมพันธ์การอนุรักษ์ธรรมชาติ ทำให้เพิ่มสีสรรให้กับการไปท่องเที่ยว พักแรม แค้มป์ไฟ  ตลอดจนน้อง ๆ เจ้าหน้าที่ทุกคน เป็นกันเอง และก็น่ารักทุกคน  และรวมถึงหัวหน้าหน่วย รองหัวหน้าด้วย ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วย

ก็อยากจะเชิญชวน ในช่วงวันหยุด วันพ่อ ชวนคนในครอบครัวไปสัมผัสกลิ่นไอธรรมชาติ ขุนเขา  และสร้างรายได้ให้กับชุมชนบ้านเราด้วย  ราชบุรีเป็นเมืองน่าอยู่ที่สุด เห็นด้วยไหมคะ  ลองพิจารณาไว้สักแ  ห่งในช่วงวันหยุดนี้   ส่วนรายละเอียดอื่น ๆมีข้อมูลให้ค้นหาได้  เช่นกัน    ห้วยอะนะ  เสน่ห์แห่งขุนเขา  
อ่านต่อ >>

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

ราชบุรี อดีตบ้านป่า "โยม..มีงาช้างดีดีบ้างไหม"

ในอดีต ป่าของราชบุรีมีอาณาเขตกว้างขวาง ทั้งยังมีความอุดมสมบูรณ์และเต็มไปด้วยสัตว์ป่าน้อยใหญ่เป็นจำนวนมาก ทว่าวันนี้มันช่างห่างไกลกับคำกล่าวข้างต้นเสียเหลือเกิน อย่างไรก็ดี ข้อความดังกล่าวหาเกินจริงไม่ เพราะประจักษ์พยานยืนยันนั้น ยังคงมีอยู่ให้เห็น นั่นคือ เขาสัตว์นานาชนิดจำนวนมาก ที่แขวนโชว์อยู่ตามศาลาหรือกุฎิวัดต่างๆ ในเมืองราชบุรี

"เขาสัตว์ไปอยู่ตามวัดจำนวนมาก เพราะสมัยก่อนสมภารชอบเล่น ชอบสะสม ตามบ้านก็มีคนเลือกซื้อไปประดับ แต่ไอ้ที่สวยๆ เราจะเลือกไปขายที่วัดก่อน เพราะได้กำไรมากกว่า พระไม่โกงเราเหมือนตามบ้าน" อดีตพ่อค้าของป่าชื่อดังวัย 70 ปี ผู้ไม่ยอมเปิดเผยชื่อเสียงเรียงนามกล่าวขึ้นในวงสนทนา

ชาวราชบุรีเชื้อสายลาวยวนผู้นี้ เคยเดินเท้าขึ้นไปรับของป่าจากชาวกะเหรี่ยงแถบสวนผึ้งมาขาย จนกระทั่งเก็บหอมรอมริบซื้อรถจี๊บขึ้นไปบรรทุกเสาไม้ลงมาขายอีกต่อหนึ่ง ทั้งยังเคยตะลุยล่าสัตว์ถึงในฝั่งพม่า หรือแม้ในยุคที่ทางราชการกวาดล้างคอมมิวนิสต์ เขาผู้นี้ก็พลอยถูกหมายหัวไปด้วย ในฐานะเป็ฯผู้คอยหาปืนผาหน้าไม้ไปให้พรานไพรใช้ล่าสัตว์

"ตอนที่ลุงเริ่มไปซื้อของป่าจากกะเหรี่ยง อายุสัก 17-18 ปี มีเจ้าอื่นซื้อขายกันอยู่เยอะแล้ว เราขึ้นล่องคนเดียว เอาพวกผ้า พวกมีด กับเครื่องของญี่ปุ่นสมัยสงครามไปขายในป่า ออกจากบ้านก็ไปนอนตามบ้านคนยวนที่หนองนกกระเรียน รางบัว หนองผาม บ้านกล้วย นาขุนแสน เรื่อยไปจนกระทั่งถึงบ้านกะเหรี่ยง ซื้อของไปเรื่อย..มีหวาย พริก น้ำผึ้ง สีผึ้ง ทุกอย่าง พวกงู กวาง กระทิง กระซู่ เสือ งาช้าง มีนับไม่ถ้วน ซื้อเยอะ พริกขี้หนูกะเหรี่ยงนี้ขายดี แต่ก่อนค้าของเยอะจนตำรวจไม่จับ รู้จักกันหมด"

"ตั้งแต่ออกจากบ้านก็เที่ยวป่าไปเรื่อย แล้วมาอยู่ที่เขาวัง รับซื้อของป่า ไม่ได้เปิดเป็นร้าน แต่รับแล้วเอาไปส่งในตลาดบ้าง ไปส่งนครปฐมกับกรุงเทพฯ บ้าง"

"พวกเขาสัตว์สวยงามที่ได้ ส่วนใหญ่คนราชบุรีจะซื้อไปสะสมกันเอง เดี๋ยวนี้ ลุงยังมีงาช้างเก็บไว้คู่สองคู่ ที่บ้านพวกๆ กันในราชบุรียังมีอยู่อีกเยอะ คู่ใหญ่เดี๋ยวนี้ 650,000 บาท เมื่อ 30 ปี ก่อนคู่ละ 5,000-6,000 บาท พวกของที่ทำยาได้ก็เอาไปส่งที่สมาคมค้าของป่าก๋งบ๊วยที่นครปฐม เขารับจากทุกที่ จากเพชรบุรี ประจวบฯ ระนอง กาญจน์ ทั่วไปหมด แล้งคงเอาไปส่งกรุงเทพฯ หรือเมืองนอกอันนี้ก็ไม่รู้เขา"

"เมื่อก่อนเคยเอางาช้างใส่จี๊บเล็กไปขายกรุงเทพฯ แถวๆ โอเดียน ไปติดต่อก่อนว่าที่ไหนต้องการอะไร ถ้าร้านเครื่องยาก็ต้องการเอ็นกวาง ลูกกระวาน ดีหมี ดีงู..สารพัด ร้านที่ลุงไปส่งงาช้าง เขาขายเขากวางอ่อน พอไปถามราคาเขาก็จดมาให้ ถึงได้รู้ว่าเราค้าขายกับคนราชบุรีแล้วถูกกดราคาเยอะ ตอนหลังเลยเข้ามาส่งเอง ส่งงาช้างอยู่หลายปี ได้เป็นร้อยคู่ แหล่งส่งที่อื่นก็มีก็มีร้านค้ายาแถวจักรวรรดิ นอกระซู่นี่ ร้านต้องการกันมาก แต่หายาก ได้ราคาดี เขาเอามาเข้าเครื่องยา"

แม้การฆ่าสัตว์ป่าจำนวนมากและการบุกรุกป่าไม้ จะทำให้เกิดการผลักดันกฏหมายคุ้มครองสัตว์ป่าเมื่อ พ.ศ.2503 และ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ เมื่อ พ.ศ.2504 แต่ผลกำไรที่มาได้ง่ายๆ จากของป่า และความสนุกสนานจากการไล่ล่า ยังคงดึงดูดใจพรานไพรทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น ให้ลักลอบเข้าปฏิบัติการอยู่เนืองๆ ซ้ำร้ายพวกเจ้าใหญ่นายโตที่รู้ตัวบทกฏหมายเป็นอย่างดี ก็ยังอุตส่าห์ดั้นด้นไปแสวงหาความตื่นเต้นจากไพรกว้าง และมีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอีกไม่น้อยที่อาศัยการค้าของป่าเป็นช่องทางทำมาหากิน มีทั้งที่เป็นห่อค้าเสียเอง และที่เป็นเหลือบริ้นคอยหักผลกำไรของพ่อค้าโดยแลกกับการเอาหู้ไปนาอชเอาตาไปไร่

"พ่อค้าของป่าอย่างลุงไม่รวยหรอก หากินกันไป สนุกดี บางเที่ยวได้เนื้อเก้ง เนื้อกวางสักสองเล่มเกวียนก็บรรทุกมาขาย กะเหรี่ยงตากไว้ให้เสร็จ มัดเป็นมัดๆ ไว้ แต่ไม่ค่อยเค็ม เพราะไม่ค่อยมีเกลือ เราเอาใส่กระสอบมาขายตามบ้าน ตามตลาดอีกที แต่ก่อนลุงเคยแนะนำให้กะเหรี่ยงตั้งร้านค้า เขาก็จ้างรถลุงลงมาขายของที่ตลาด แล้วรับของจากตลาดขึ้นไป เช่น พวกน้ำปลา รวยกันไปเยอะ แถวบ้านคา บ้านบ่อ ทุ่งแฝก เขารับซื้อของป่าด้วย เอาไว้ให้ลุงขายอีกต่อนึง บางทีพวกเจ้านายในตลาดบ้าง จากกรุงเทพฯ พวกทหาร ตำรวจ คนมีสตางค์ ก็มาจ้างพวกลุงไปนอนป่ายิงสัตว์ ช่วยหาบของให้เขา ลุงเลยได้รู้จักคนเยอะ หาปืนหาอะไรก็ง่าย พอได้ปืนดีๆ มา ลุงก็ไปจ้างพวกกะเหรี่ยงให้พาเข้าไปในแหล่งสัตว์ ทั้งฝั่งไทยฝั่งพม่า มีทั้งเก้ง กวาง เสือ กระทิง ช้าง ฮู้..เยอะ"

"ร้านที่เขาวังเลิกไปได้ 20-30 ปีแล้วมั้ง แต่ของป่าก็ยังรับซื้ออยู่ ใครได้อะไรที่ไหนมาก็ตาม เดี๋ยวนี้ใครพอหาอะไรได้ก็ยังเอาไว้ให้ เขตป่าแต่ก่อนมาถึงแถวจอมบึง เขาสามง่าม ป่าไม้ทั้งนั้น มีหมูป่า เลียงผา กระต่ายป่าเยอะแยะ พอทำไม้ สัตว์ชักเบา ป่าหมดมันก็ร่นเข้าไปๆ เดี๋ยวนี้เขตพม่าก็ไม่ค่อยมีแล้ว ไปเอากันมาจากอินเดียโน่น พวกกะเหรี่ยงอิสระฝั่งโน้น ไปหามาแล้วเข้าทางราชบุรีนี่แหละ มันเป็นป่า หลบตำรวจง่ายหน่อย ถ้าเข้าทางเพชรบุรีมันลำบาก เพราะเป็น้ำ ทางเมืองกาญจน์ก็ปัญหาเยอะ เขาเอาไปส่งตามที่ต่างๆ อย่างร้านที่นครปฐม ลูกๆ ก็ยังทำกันอยู่ หน้าร้านขายผัก ขายอะไรไป ข้างหลังร้านก็รู้ๆ กัน"

"ค้าของป่ามันก็มีขัดใจกันบ้าง สมัยลุงมีพ่อค้าอยู่ 10 กว่าคน ขาใครขามัน บางทีมีแย่งกันบ้าง มาแย่งหนักนี่ทีหลัง ตอนเอารถเข้าไปซื้อเสาซื้อไม้ ตอนนั้นไม้เยอะ ตัดไปเหอะ...จะยิงกันตาย เพราะเราไปซื้อของขามัน มันก็เคือง อย่างบางทีเราเอาของมาขายตามบ้านตามตลาด มันโกงกันบ้างเป็นธรรมดา ลุงเลยเอาไปขายตามวัดดีกว่า ขายเสาเอาไปสร้างกุฎิศาลา เขาสัตว์ก็ขายดี ได้ราคาดีกว่า..พระไม่โกงเรา สมภารชอบถามว่า โยม..มีงาช้างดีดีบ้างไหม"


ที่มาของข้อมูล :
-สุดารา สุจฉายา.(2541). ราชบุรี. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สารคดี. (หน้า 46-47)

ที่มาของภาพ :(ภาพจำลอง ไม่ใช่ภาพจริงประกอบบทความ)
อ่านต่อ >>