แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อ.บ้านโป่ง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อ.บ้านโป่ง แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

..คือ มอญแห่งบ้านม่วง

สัมผัสกลิ่นอายอารยธรรมมอญ
แห่งชุมชนมอญบ้านม่วง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี (ดูที่ตั้งและพิกัด)

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน  อาหารมอญเลิศรส
สดสวยเส้นสาย  ลายผ้ามอญทอมือ  เลื่อระบือรำหงส์
พระมุเตาสถูปสถิตคง  สดับธรรมคำสวดมอญ

ดูภาพอื่นๆ
ใครคนที่พลัดถิ่น กลับมิสิ้นชาติดำรง
ในบรรดามนุษยชาติพันธุ์เก่าแก่ ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินใหญ่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ "มอญ" จะดูอาภัพกว่าใครเพื่อน  "เขมร" ยังมีถิ่นฐานบ้านช่องเป็นของตัวเอง แต่ "มอญ" สิ้นแผ่นดิน ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ กระจัดกระจายย้ายแยกกันไปอาศัยบ้านอื่นเมืองเขา

"เมืองมอญ" ที่เคยรุ่งเรืองในอดีต กลับกลายมาเป็นความปวดร้าวในปัจจุบัน เหลือเพียงสำนึกใน "ความเป็นมอญ" เท่านั้นที่ซึมซ่านอยู่ในสายเลือด "คนพลัดถิ่น"


เทือกเถาเหล่ากอคง ยังสืบสายหลายร้อยปี
ประวัติชั่วไม่ถึงครึ่งศตวรรษ บอกเล่าถึงคลื่นมอญอพยพระลอกแล้วระลอกเล่า เข้าสู่กรุงศรีอยุธยา ธนบุรี และระตนโกสินทร์ รวมไม้น้อยกว่า 9 ครั้ง เป็นการหนีภัยพม่าที่ขยายอำนาจรุกลงทางใต้ จนในที่สุดมอญก็สิ้นแผ่นดิน

ในความทรงจำอันปวดร้าวของมอญ บันทึกเอาไว้ว่า เมื่อ พ.ศ.2082 กรุงหงสาวดีถูกพม่าตีแตก สองปีต่อมา เมาะตะมะก็ไม่พ้นชะตากรรมเดียวกัน  เป็นอันสิ้นสุดความรุ่งเรืองของมอญยุคหงสาวดี  เหตุการณ์นี้เองที่ก่อให้เกิดคลื่นมอญอพยพระลอกแรกชนิดแบบเทครัว ทั้งชนชั้นสูงและสามัญชน สู่กรุงศรีอยุธยา และเส้นทางอพยพสายสำคัญนั้นก็คือ เข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์

ระลอกต่อมา เกิดขึ้นเมื่อครั้งพระนเรศวรเสโจไปช่วยพม่าปราบกบฏเมืองอังวะ  แล้วนำไปสู่การประกาศแยกแผ่นดินกับพม่า เมื่อ พ.ศ.2127 เพราะพม่าคิดไม่ซื่อ  วางแผนร้ายหมายกำจัดพระองค์  ผู้เปิดโปงแผนการร้ายของพม่า คือ พระมหาเถรคันฉ่อง สงฆ์มอญนิกายมหายาน กับอีกสองพญามอญ คือ พญาเกียรติ พญาราม

ในการยกทัพกลับคราวนั้น  นอกจากพาครัวไทยสมัยพม่ากวาดต้อนไปแล้วคราวเสียกรุง พ.ศ.2112 กลับมาด้วยแล้ว  ยังทรงชักชวนพระมหาเถรคันฉ่อง พญาเกียรติ  พญาราม พร่อมครัวมอญอีกมาก ให้เข้ามาอยู่ด้วยกันที่กรุงศรีฯ โดยโปรดยกทัพกลับทางใต้ ผ่านหัวเมืองมอญ เข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์


คือมอญแห่งบ้านม่วง  ริมฝั่งน้ำแม่กลองนี้
มอญบ้านม่วงเองก็เชื่อว่า บรรพบุรุษของพวกตนติดตามพระมหาเถรคันฉ่อง เข้ามตั้งถิ่นฐานอยู่ริมน้ำแม่กลอง ตั้งแต่ครั้งกรุงศรี  รัชสมัยพระนเรศวร  และเพื่อรำลึกถึงบ้านเก่าที่จากมา  จึงเรียกบ้านใหม่ด้วยชื่อเก่า "บ้านม่วง" เช่นเดียวกับชื่อวัดที่สร้างใหม่ว่า "วัดม่วง" ภาษามอญว่า "เพลียเกริก"

มอญบ้านม่วงใช้เวลา 30 กว่าปีในการบุกเบิกที่ทางทำมาหากิน ก่อสร้างชุมชนและวัดวาอาราม  คัมภีร์ใบลานเก่าที่สุดของวัดม่วง จารเมื่อศักราช 1,000 ตรงกับ พ.ศ.2181 ชุมชนบ้านม่วงจึงมีอายุเก่าแก่ถึง 373 ปี


เลือดมอญยังล้นปรี่   ย้อนรอยชาติอารยชน
ยังมีการอพยพเข้ามสมทบอีกหลายระลอก และเวลาร่วม 400 ปี ช่างเนิ่นนานนักในการยืนหยัดเหนียวแน่นอยู่กับ "ความเป็นมอญ" และนั่นก็เป็นรากฐานอันดีในการก่อเกิด พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดม่วง และศุนย์มอญศึกษา  เพื่อที่จะพัฒนาชุมชนมอญแห่งนี้ให้เป็นคลังความรู้มอญ  เพื่อย้อนรอยชาติอารยชน  ผู้ซึ่งนานมาแล้วมีบทบาทสูงเด่นอยู่ในอาณาจักรเก่าแก่ นามว่า "ทวารวดี"

ทวารวดี มีศูนย์อำนาจอยู่ที่ภาคกลาง และแผ่อิทธิพลไปทั่วประเทศไทย ช้ามไปถึงกัมพูชาและลาว โดยมีวัฒนธรรมมอญโดดเด่นเป็นสง่า.....

*****************************

อ่านเพิ่มเติม
ที่มาข้อมูล
  • แผ่นพับประชาสัมพันธ์ชุมชนมอญบ้านม่วง ได้รับแจกจ่ายเมื่อ 17 เม.ย.2554

อ่านต่อ >>

วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ตำนานศาลเจ้าแม่เบิกไพร บ้านโป่ง

เมื่อวันที่ 8 ก.พ.2554 ผมได้ไปธุระที่วัดปากบาง ต.ลูกแก อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลองฝั่งขวา ขากลับเลยลองขับรถเรื่อยๆ บนถนนเล็กๆ อันคดเคี้ยว เลียบริมแม่น้ำแม่กลองฝั่งขวา ผ่านหมู่บ้านและวัดหลายแห่ง จนมาถึงราชบุรี  ในช่วงเข้าเขต อ.บ้านโป่ง ผมได้ผ่าน ศาลเจ้าแม่เบิกไพร ซึ่งเป็นศาลที่เก่าแก่มาก เป็นที่เคารพสักการะของชาวราชบุรี และจังหวัดใกล้เคียง โดยเฉพาะชาวเรือ มาแต่อดีต และขึ้นชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก เลยตั้งใจจะกลับมาค้นหาเรื่องราวและตำนานของศาลเจ้าแม่เบิกไพร ตามที่มีบันทึกเอาไว้ในหนังสือหรือเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งพออ่านแล้ว อาจจะมีความไม่สอดคล้องหรือขัดแย้งกันอยู่บ้าง แต่ก็เป็นตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมา ...ลองอ่านดูนะครับ...

ที่ตั้งศาลเจ้าแม่เบิกไพร อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี
ภาพจาก Google Map

เจ้าแม่เบิกไพรเป็นบุตรีของชาวประมง
คุณมโน  กลีบทอง ได้สัมภาษณ์นางกิมเต็ง แซ่ตั๊น (นางละออง ศรีคำ) อายุ 72 ปี ผู้ดูแลศาลเจ้าแม่เบิกไพร ไว้เมื่อวันที่ 8 ก.ย.2541 ซึ่งนางกิมเต็งฯ ได้เล่าประวัติเจ้าแม่เบิกไพรไว้ว่า

"ท่านเป็นบุตรีของชาวประมง มีพี่ชายหนึ่งคน ระหว่างที่ท่านอยู่ในครรภ์มารดา มารดาของท่านรับประทานแต่อาหารเจ และเมื่อเจ้าแม่คลอดจากครรภ์มารดา เจ้าแม่ก็รับประทานแต่อาหารเจจนตลอดชีวิตของท่าน เหตุที่ท่านเป็นที่นับถือของคนเดินเรือ เนื่องมาจากวันหนึ่งบิดาและพี่ชายของท่าน ออกหาปลาด้วยเรือคนละลำ เกิดพายุใหญ่ทำให้เรือของบิดาและพี่ชายโดนพายุเกือบจะอับปาง ท่านได้ตั้งจิตช่วยเหลือด้วยการใช้ปากคาบเรือของบิดาและใช้มือสองข้างจับเรือของพี่ชาย

ขณะนั้นมารดาและพี่สะใภ้มาพบเข้าและไม่รู้ว่าเจ้าแม่กำลังตั้งจิต จึงร้องเรียก เจ้าแม่ขานรับคำ เรือของบิดาท่านจึงหลุดออกจากปากจมลงทะเล ท่านเสียใจมากที่ช่วยบิดาไว้ไม่ได้ จึงตั้งใจจะช่วยคนเดินเรือทุกคนให้เดินเรือด้วยความปลอดภัย จากนั้นท่านจึงเดินลงทะเลหายไป ตั้งแต่นั้นมาชาวเรือที่บูชาเจ้าแม่จะเดินเรือด้วยความปลอดภัย"

ผงธูปของเจ้าแม่เทียงโหวเซี้ยบ้อ
ในเว็บไซต์ห้องสมุดออนไลน์ MyfirstInfo ได้เขียนประวัติของศาลเจ้าแม่เบิกไพรไว้เมื่อ 26 พ.ย.2550 ดังนี้

"ในราวปี พ.ศ.2317 นายเม่งตะ แซ่ตั้น พ่อค้าชาวจีนได้เดินทางโดยทางเรือเข้ามาค้าขายที่เมืองราชบุรี หรือที่เรียกว่าเมืองคูบัวในสมัยนั้น นายเม่งตะฯ เป็นผู้ที่มีความเคารพศรัทธาต่อเจ้าแม่เทียงโหวเซี้ยบ้อ จึงได้นำผงธูปที่ไหว้เจ้าแม่ติดตัวมาด้วยจากประเทศจีน เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจระหว่างการเดินทาง และเมื่อเดินทางมาถึงที่บ้านโป่งก็ได้สร้างศาลเล็กๆ ขึ้นหลังหนึ่ง พร้อมทั้งได้นำผงธูปที่ติดตัวมานั้นประดิษฐานไว้ ต่อมาศาลแห่งนั้นก็ได้รับความเคารพจากชาวจีนในบ้านโป่งต่อมา และได้ขนานนามศาลเจ้าแห่งนั้นไว้ว่า "ศาลเจ้าแม่เบิกไพร" เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวเรือ เชื่อว่าจะคุ้มครองให้ปลอดภัย และเบิกทางให้ไปถึงจุดหมายด้วยดี"

ความเชื่อมโยงระหว่างเจ้าแม่เทียงโหวเซี้ยบ้อและบุตรีของชาวประมง
จากตำนานทั้ง 2 เรื่องทำให้ผมลองสืบค้นหาความเชื่อมโยงระหว่างเจ้าแม่เทียงโหวเซี้ยบ้อและบุตรีของชาวประมง ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร จึงไปพบเรื่องราวที่โพสต์เอาไว้ในเว็บบอร์ด หัวข้อ เจ้าแม่สวรรค์ เจ้าแม่ทับทิม ในเว็บไซต์ Phuketvegetarian.com เขียนเอาไว้น่าสนใจ ดังนี้

คุณศิษย์เหล่าเอี๊ย โพสต์ว่า "เจ้าแม่ทับทิม หรือเทพยุดาตุ้ยบ้วยเต๋งเหนี่ยง ที่ชาวไหหลำให้ความเคารพบูชา ท่านเป็นเทพยดาแห่งความเมตตา ส่วนเจ้าแม่เทียงเซียงเซี่ยบ้อ หรือเทียนโหวเซี่ยบ้อ ไหหลำเรียกเทียงโหวเต๋งหม้าย เต๋งหม้ายก้อคือ เซี่ยบ้อ เป็นเจ้าแม่ทางน้ำ แต่จริงๆ ถ้าแปลตามชื่อเจ้าแม่ทับทิมน่าจะดูแลรักษาทางน้ำมากกว่า...."

คุณศิษย์อาม่า โพสต์ว่า "หม่าโจ้ว  จุ้ยบ๊วยเนี้ยว  เทียนโหวเซี่ยบ้อ  หม่าจ๋อโป๋  เจ้าแม่โต๊ะโม๊ะ  เจ้าแม่เบิกไพร  เจ้าแม่เขาสามมุข  ชื่อทั้งหมดนี้เป็นชื่อเรียกของอาม่า (เจ้าแม่ทับทิม)  ทั้งหมดครับ  การเรียกชื่อในแต่ละท้องที่นั้นไม่เหมือนกัน  จึงทำให้มีหลากหลายชื่อ...."

คุณศิษย์ซือจุง โพสต์ว่า "เจ้าแม่ทับทิมมีทั้งหมด 4 องค์นะครับ (เท่าที่พบเห็นในประเทศไทย) เรียงลำดับดังนี้คือ
  1. เทียนโหวเซี้ยบ้อหรือหม่าโจ้ว (เจ้าแม่ทับทิมเดือน 3 ) เช่น เจ้าแม่โต๊ะโมะ จ.นราธิวาส เจ้าแม่ม่าผ่อ จ.ยะลา เจ้าแม่เบิกไพร จ.ราชบุรี
  2. จุ้ยบ่วยเสี่ยเนี้ยหรือตุ้ยบ้วยเต๋งเหนี่ยง เป็นเจ้าแม่ทับทิมเดือน 10 ที่ชาวไหหลำให้ความเคารพนับถือมาก ตามประวัติที่แกะจากขอนไม้ลอยน้ำแล้วนำมาแกะสลักเป้นองค์เจ้าแม่
  3. ไท้ฮั้วเสี่ยเนี้ยหรือไท้หว่าโผ่ (เจ้าแม่ทับทิมเดือน 6) เป็นเจ้าแม่ที่มีประวัติลึกลับคล้ายๆกับจุ้ยบ่วยเนี้ยคือไม่มีชีวิตเป็นตัวเป็นตนจริง ซึ่งที่ตลาดน้อย ริมคลองผดุงเกษมจะมีศาลของไท้ฮั้วโผ่อยู่
  4. เจี่ยสุ้นเสี่ยเนี้ยหรือเจ้าแม่ทับทิมเดือน 2 ซึ่งศาลท่านที่พบเห็นแถวย่านบางโพ ซึ่งมีประวัติคล้ายๆ ท้าวสุรนารี (ย่าโม) หรือคุณหญิงมุก ของชาวภูเก็ต เป็นวีระสตรีผู้กล้า มีประวัติจารึกอยู่ที่ไหหลำ ประเทศจีน"
ส่วนในหนังสือ 8 ชาติพันธุ์ในราชบุรี ศรีวิชัย  ทรงสุวรรณ ได้เขียนไว้ว่า "....ในการขึ้นล่องค้าขายทางเรือของชาวจีน เมื่อผ่านคุ้งน้ำสำคัญๆ ก็ได้นำวัฒนธรรม ความเชื่อตามประเพณีบอกเล่า ได้สร้างศาลที่พวกตนนับถือมาตั้งแต่อยู่เมืองจีน เช่น ชาวไหหลำนิยมสร้างศาลเจ้าแม่ชุ่ยเว่ยเหนียง หรือเจ้าแม่ชายน้ำ ที่คนไทยรู้จักในชื่อของเจ้าแม่ทับทิม ที่ตำบลท่าผา อ.บ้านโป่ง ขณะที่ชาวแต้จิ๋ว ได้สร้างศาลทับศาลดั้งเดิมของคนพื้นเมืองมาก่อนที่คนไทยเรียกว่า ศาลเจ้าแม่เบิกไพร อ.บ้านโป่ง.....

จากข้อมูลที่ค้นหามา ผมก็ยังค่อนข้างสับสนอยู่พอสมควร แต่พอจะสรุปได้ว่า เจ้าแม่เบิกไพร เจ้าแม่เทียนโหวเซี่ยบ้อ และเจ้าแม่ทับทิม น่าจะเป็นองค์เดียวกัน และมีความเกี่ยวข้องกับทางน้ำ (การประมงและการเดินเรือ) จริง (เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ใครมีข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆ กรุณาเพิ่มเติมไว้ได้ที่ท้ายบทความนี้) 

บันทึกศาลเจ้าแม่เบิกไพร ในสมุดราชบุรี พ.ศ.2468
"เจ้าแม่องค์นี้ เป็นที่เลื่องลือในความศักดิ์สิทธิ์แพร่หลายไปถึงต่างจังหวัดที่ใกล้เคียง ศาลเจ้าแม่ตั้งอยู่ริมฝั่งขวาลำน้ำแม่กลอง ณ ตำบลเบิกไพร ท้องที่อำเภอบ้านโป่ง อยู่เยื้องตลาดบ้านโป่งลงมาทางใต้ระยะทางประมาณ 40 เส้น

ภาพศาลเจ้าแม่เบิกไพร ในสมุดราชบุรี พ.ศ.2468
เจ้าแม่องค์นี้ได้มีปรากฏมาแต่กาลนานก่อนตั้งที่ว่าการอำเภอและตลาดบ้านโป่ง แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่ามีมาอย่างใด เมื่อครั้งไร ศาลของเจ้าแม่โดยเหตุที่ตั้งอยู่ริมน้ำและตรงท้องคุ้งตลิ่งพัง จึงได้มีการขยับเลื่อนหนีน้ำประมาณ 2 ครั้งแล้ว ในบัดนี้ลักษณะรูปศาลคงเป็นเช่นเรือนฝากระดาน 2 หลังแฝด หลังคามุงสังกะสี พื้นกระดานขนาดกว้างยาว 4 วา 2 ศอก สี่เหลี่ยม ความเป็นอยู่ภายในเหมือนอย่างศาลเจ้า

รูปเจ้าแม่ในบัดนี้ เป็นรูปพระจีนทรงเครื่องปิดทองนั่งอยู่บนฐานสูงประมาณ 1 ฟุต และมีรูปสาวกอีก 2 องค์ ความจริงเจ้าแม่ควรจะเป็นเทพารักษ์อย่างไทยๆ แต่ที่กลายเป็นไปอย่างจีนและศาลก็เป็นศาลเจ้าไปเช่นนี้ เพราะเหตุด้วยคนจีนเป็นผู้ปกครองดูแลศาลและความนิยมนับถือก็อยู่ในหมู่ชาวจีนเป็นส่วนมากด้วย

แต่อย่างไรก็ดีเกือบจะกล่าวได้ว่า เจ้าแม่องค์นี้ราษฎรมีความนิยมนับถือในความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าเทพารักษ์องค์อื่นๆ ในจังหวัดราชบุรี ตามปกติมีผู้ไปเซ่นไหว้ทุกวัน วันละหลายๆ พวก บ้างไปบนบานศาลกล่าว บ้านก็ไปเสี่ยงทายขอใบเซียมซี  ด้วยปรากฏว่าใบเสี่ยงทายมีความศักดิ์สิทธิ์แน่นอนมาก บรรดาชาวเรือแทบทุกลำที่ขึ้นล่องผ่านหน้าศาล ต้องทำการเซ่นไหว้มีจุดธูปเทียนเผากระดาษเงิน ทอง และจุดประทัด นับว่าในวันหนึ่งๆ ที่ศาลนี้จะไม่ขาดเสียงประทัดเลย

กำหนดเวลาที่ราษฎรไปไหว้กันมากก็คือระหว่างใกล้ตรุษจีน ตลอดไปจนหมดตรุษจีนแล้ว ซึ่งราษฎรตามจังหวัดใกล้เคียงหลายจังหวัด ได้พากันมาเป็นจำนวนมากทุกๆ วัน....

.....การจะไปยังศาลนี้ เป็นความสะดวกทั้งทางบกและทางเรือ ในทางบกนั้นเมื่อลงรถไฟที่สถานีบ้านโป่งแล้วเดินผ่านตลาดไปยังริมแม่น้ำ และเดินต่อไปข้างใต้อีกไม่ช้าก็จะถึงท่าเรือจ้าง แล้วลงเรือข้ามฟาก ซึ่งมีประจำคอยรับผู้โดยสารอยู่เสมอ  ส่วนทางเรือนั้น ในลำน้ำแม่กลอง มีเรือเมล์คอยรับส่งคนโดยสารขึ้นล่องอยู่ตลอดลำน้ำ และทุกๆ วัน ฉนั้นเมื่อจะโดยสารจากที่ใดไปก็ได้เสมอ......"

พุทธรูป 5 องค์ ปางต่างๆ กัน
รัชกาลที่ 5 เสด็จฯ สักการะศาลถึง 2 ครั้ง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ก็ได้เคยเสด็จมาสักการะศาลเจ้าแม่เบิกไพรแห่งนี้ด้วยเช่นกัน โดยครั้งแรกปี พ.ศ.2420 พระองค์ได้เสด็จประพาสทางชลมารคผ่านแม่น้ำแม่กลองเมืองราชบุรี เพื่อเสด็จไปยังเมืองกาญจนบุรี  ในตอนขากลับพระองค์ ก็ได้ขึ้นไปสักการะที่ศาลเจ้านั้นด้วย ต่อมาครั้งที่ 2 เมื่อวันอาทิตย์ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 พ.ศ.2431 คราวเสด็จกลับจากประพาสไทรโยคเช่นกัน

นอกจากนั้นแล้ว ภายในศาลเจ้าแห่งนี้ก็ยังมีพระพุทธรูป 5 องค์ ปางต่างๆ กัน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่สมเด็จพระพี่นางในรัชกาลที่ 5 ได้ทรงนำมาประดิษฐานไว้ เมื่อคราวที่พระองค์เสด็จมาทอดกฐินที่อำเภอบ้านโป่งนี้ด้วย จึงถือว่าศาลเจ้าแม่เบิกไพรนี้มีความสำคัญ และเป็นที่เคารพบูชาของประชาชนโดยเสมอมา

การบูชาศาลเจ้าแม่ฯ สำหรับชาวเรือ
การบูชาเจ้าแม่เมื่อเดินเรือผ่านศาล คนเรือจะไหว้ด้วยมะพร้าว กล้วยน้ำว้าสุก และจุดประทัด จากนั้นจะวิดน้ำจากหน้าศาลเจ้าเข้าเรือ 3 ครั้งเพื่อเป็นน้ำมนต์

********************************************

ที่มาข้อมูลและภาพ
  • มโน กลีบทอง.(2544). พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี และจังหวัดราชบุรี. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สมาพันธ์. (หน้า 138-139)
  • ผู้จัดการออนไลน์. (2550). สืบสาน 3 วัฒนธรรม "111 ปีบ้านโป่ง".ห้องสมุดออนไลน์. [Online]. Available :https://news.myfirstinfo.com/viewnews.asp?newsID=1241560&keyword=. [2554 กุมภาพันธุ์ 11 ].
  • Phuketvegetarian.com. (2550). เจ้าแม่สวรรค์ เจ้าแม่ทับทิม. Available :http://www.phuketvegetarian.com/borad/data/2/0505-1.html. [2554 กุมภาพันธุ์ 11 ].
  • มณฑลราชบุรี. (2468). สมุดราชบุรี. พระนคร : โรงพิมพ์หนังสือพิมพ์ไทย. (หน้า 168-169)
  • ศรีวิชัย  ทรงสุวรรณ. (2547). ไทยจีน : 8 ชาติพันธุ์ในราชบุรี. ราชบุรี : ธรรมรักษ์การพิมพ์. (หน้า 40)
อ่านต่อ >>

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ครูเผ่ แห่งบ้านฝรั่งดงตาล

ในปี พ.ศ.2453 ที่ศาสนาจารย์ฮาลิเดย์ เดินทางมาถึงเมืองไทยนั้น มีคริสเตียนชาวพม่าคือ "หม่องเผ่" และครอบครัว ได้เดินทางมาด้วย หมองเผ่เริ่มงานเผยแพร่ศาสนาในหมู่่ช่าวมอญที่ตำบลสำเภาล่ม จังหวัดอยุธยา ก่อน แล้วจึงย้ายมาประจำอยู่ที่ตำบลนครชุมน์

ข้อมูลเกี่ยวกับหม่องเผ่นั้น ไม่ค่อยปรากฏในงานเขียนของคริสตจักร แต่อยู่ในความทรงจำของชาวบ้านนครชุมน์และชาวบ้านม่วงเป็นอย่างดี เพราะท่านอยู่นาน มีบทบาททั้งเป็นผู้ประกาศศาสนาและหมอรักษาพยาบาลแผนใหม่ และคุณมาลัย ชุมศรี เคยร่วมงานกับท่านที่บ้านนครชุมน์

"หมองเผ่" หริอ "ครูเผ่" แห่งบ้านฝรั่ง ดงตาล

"หม่องเผ่" เป็นคริสเตียนลูกครึ่งมอญ-พม่า เผ่ ภาษาพม่า แปลว่า วัด

ภาษามอญ เรียกว่า "กู่เว่" แปลว่า  ไร่นา

ทางการมักเรียกท่านว่า "โกแวร์"

ครูเผ่ ถ่ายรูปกับครอบครัวที่บ้านนครชุมน์
หน้าสถานประกาศศาสนาบ้านฝรั่ง ดงตาล
ขวาสุดคือ ครูเผ่ ผู้อยู่ในความทรงจำของชาวบ้าน
ท่านเป็นคนใจดี มีลักษณะอ้วน ท้วมๆ ผิวขาว พูดจาเพราะ เคยเรียนเป็นผู้ช่วยแพทย์จากพม่า จะเดินไปตามหมู่บ้านทั้งสองฝั่ง โดยเฉพาะฝั่งนครชุมน์และฝั่งบ้านม่วง รักษาคนเจ็บป่วยแบบแผนใหม่ บางทีก็อยู่ให้การรักษาพยาบาลคนไข้มากที่บ้านฝรั่ง ดงตาล บางครั้งก็ถูกตามไปรักษาคนป่วย ท่านพูดจาให้กำลังใจคนไข้เก่ง เก็บค่ารักษาพยาบาลไม่แพง ถ้าชาวบ้านไม่มีเงินก็ไม่เก็บ

ชาวบ้านนิยมรักษากับท่าน ในขณะเดียวกันก็นิยมรักษาแบบแผนโบราณด้วย หมอชาวบ้านที่เป็นหมอยาสมุนไพร หมอใช้เวทมนต์คาถา หมอนวด และหมอผี

ถ้าผู้ป่วยรายใดป่วยมาก ท่านจะส่งโรงพยาบาลนครปฐมของคุณหมอคลาร์ก

ท่านมิได้เป็นครูสอนหนังสือเลย แต่ชาวบ้านชอบเรียกท่านว่า "ครู" ไม่ค่อยเก่งภาษาไทย พูดภาษาพม่า มอญ และไทยได้ แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้

ครูเผ่ ย้ายมาบ้านฝรั่ง ดงตาล เมื่อใดไม่ทราบแน่ แต่ตอนปี พ.ศ.2475 คุณมาลัย ชุมศรี อายุ 20 ปี จบการศึกษาวิชาผดุงครรภ์ของโรงเรียนมิชชั่นจากนครปฐม ได้กลับมาช่วยในกิจการ "โรงเรียนดงตาล" และร่วมงานกับครูเผ่ อยู่ 2 ปี

คุณมาลัย และคุณทองสุก ผู้เป็นพี่สาว (เป็นหลานของออกเปอร์ ยังโดด คริสเตียนคนแรกของบ้านนครชุมน์และบ้านม่วง) ได้นับถือศาสนาคริสต์ตอนอายุได้ 15 ปี (ราว พ.ศ.2470) สาเหตุเพราะคุณปู่สนับสนุนให้หลานสาวทั้งสองไปเรียนโรงเรียนคริสต์ที่นครปฐม เพราะเห็นว่าโรงเรียนประชาบาลที่วัดม่วง ซึ่งเพิ่งตั้งใหม่ไม่นานนั้น มีเด็กเยอะ ครู 1 คน สอนเด็ก 120 คนจะรู้หนังสือช้า จึงไปเรียนที่นครปฐม และสนใจในคริสตศาสนา จึงหันมานับถือมั้งสองพี่น้อง ทั้งๆ ที่พ่อไม่ได้นับถือ

"โรงเรียนดงตาล" นี้อยู่ในบริเวณเนื้อที่ของสถานประกาศบ้านนครชุมน์ เปิดสอนประถม 1-4 ไม่จำเป็นต้องเป็นคริสเตียน สอนวิชาเลข ภาษาไทย วาดเขียน และศาสนาคริสต์ ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กจากบ้านม่วงมาเรียน (ลูกชาวบ้านน้อย มักเป็นลูกชาวจีนที่อยู่ใต้วัดม่วง) รองลงมาเป็นเด้กบ้านหัวหิน บ้านหม้อ เด็กบ้านนครชุมน์มีน้อยมาก ในช่วง พ.ศ.2475-76 ประถม 1-4 มีนักเรียน 80 คน

แสดงว่าชาวบ้านระยะหลังให้ความสนใจเรียนกับสถานประกาศนี้มากกว่าสมัยคุณหมอคลาร์ก เวลาสอบ นักเรียนโรงเรียนดงตาลจะต้องมาสอบสมทบที่วัดม่วง ตามคำสั่งหรือระเบียบของอำเภอ

กิจการของบ้านฝรั่ง ดงตาล ในระยะที่คุณมาลัย ชุมศรี มาสอนหนังสือนี้ มีทั้งด้านเผยแพร่ศาสนา ให้การรักษพยาบาลแผนใหม่ และให้การศึกษา

สองหน้าที่แรกเป็นภาระหน้าที่ของครูเผ่ ส่วนการศึกษามักจ้างครูไทยสอน

คุณมาลัย เล่าถึงเรือนหรือบ้าน ในสถานประกาศนครชุมน์นี้ มี 3 หลัง ในเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่เศษ

หลังที่ 1 เป็นโรงเตี้ยๆ ชั้นเดียว ทำด้วยไม้ไผ่ หลังคามุงจากเป็นเรือนยาว ใช้เป็นโรงเรียนดงตาล
หลังที่ 2 เป็นเรือนไม้สัก 2 ชั้น สวยงาม หลังคามุงกระเบื้องเรียกว่า "บ้านมิชชั่น" ชั้นบนเป็นห้องพักของมิชชั่นและห้องพักครู ชั้นล่างมีห้องพัก ห้องพยาบาล และห้องสวด
หลังที่ 3 เป็นเรือนไม้ชั้นเดียว ยกพื้นสูง เป็นบ้านพักของครูเผ่


ปัจจุบันเหลือบ้านพักครูเผ่หลังเดียวในลักษณะรกร้าง

บ้านฝรั่ง ดงตาล นี้เคยจะถูกปล้นใน พ.ศ.2475 เพราะนึกว่าร่ำรวยมาก ผู้ที่จะมาปล้นคือ "เสือธง" เป็นหนุ่มรูปหล่อ อายุประมาณ 30 ปี ก่อนที่จะเข้าปล้นได้ประกาศก่อน และได้ "เข้าพิธี" นอกรั้ว แต่พิธีล่ม จึงไม่ได้ดำเนินการปล้น

ภายหลังเสือธงไปปล้นที่อื่น ถูกยิงที่น่องบาดเจ็บมาให้ครูเผ่ทำแผลให้หลายครั้ง

ชาวมอญทั้งสองฝั่งหันมานับถือศาสนาคริสต์น้อยมาก ดังจะเห็นว่า นอกจาก ออกเปอร์ ยังโดด (เกิดประมาณ พ.ศ.2400) ที่เข้ารีตเป็นรายแรกแล้ว ต่อมาก็มีกำนันเชาวน์ เจิมประไพ (เพราะได้ภรรยาคริสเตียน ซึ่งเป็นน้องสาวศาสนาจารย์จากอยุธยามาสอนที่ดงตาลนี้) และหญิงชาวบ้านอีกคนหนึ่งชื่อ "รน" 

รุ่นลูกหลานก็มี คุณมาลัยและคุณทองสุก หลาน(ปู่) ออกเปอร์ ยังโดด และลูกกำนันเชาวน์

"ชาวมอญเป็นพุทธมามกะที่เคร่งครัดมาก ใครจะอธิบายอย่างไรก็รับฟัง แต่ไม่เอาด้วย" คุณมาลัย ชุมศรีกล่าว

เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นขึ้นที่อำเภอบ้านโป่ง บ้านโป่งกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ ผู้คนต่างหลบภัยทางอากาศ กิจการเผยแพร่ศาสนาและบ้านฝรั่ง ดงตาล คงจะยุติ และถูกทิ้งร้างไป เพราะคุณหมอและแหม่มคลาร์กแห่งคริสตจักรนครปฐมถูกกักตัวไว้ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ใน พ.ศ.2484 ในฐานะอยู่ฝ่ายพันธมิตร เมื่อสงครามยุติท่านได้รับการปล่อยตัวกลับมาดำเนินงานของท่านที่นครปฐมดังเดิม แต่ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดไปฟื้นฟูบ้านฝรั่ง ดงตาล อีกเลย

"บ้านฝรั่ง ดงตาล" "หมอคลาร์ก" แหม่มคลาร์ก" โดยเฉพาะ "ครูเผ่" จึงอยู่ในความทรงจำที่ดีของชาวบ้านนครชุมน์และชาวบ้านม่วงจวบจนทุกวันนี้


แหม่มคลาร์ก และคุณหมอคลาร์ก สองในสามท่านแรก
ที่บุกเบิกตั้ง "บ้านฝรั่ง ดงตาล" บ้านนครชุมน์ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี

อ่านเพิ่มเติม
บ้านฝรั่ง ดงตาล ตอนที่ 1
บ้านฝรั่ง ดงตาล ตอนที่ 2

ที่มา :
สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์. (2536). ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นลุ่มน้ำแม่กลอง : ศึกษากรณีชุมชนมอญบ้านม่วง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี. ลุ่มน้ำแม่กลอง : พัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรม. มหาวิทยาลัยศิลปากร : พิฆเณศ พริ้นท์ติ้ง เซ็นเตอร์. (หน้า 101-106) 
อ่านต่อ >>

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บ้านฝรั่งดงตาล ตอนที่ 2

ต่อจากบ้านฝรั่งดงตาล ตอนที่ 1

บทบาทสามปีแรกของ คณะเชิชเชส ออฟ ไครสต์ ที่ "บ้านฝรั่ง ดงตาล"

นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2446 ถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ.2449 รวมเป็นเวลา 3 ปีเศษ ธรรมฑูตทั้งสองของคณะเชิชเชส ออฟ ไครสต์ ที่นครชุมน์ปฏิบัติงานอยู่นั้น ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเพราะ

1.ชาวบ้าน (ชาวมอญ) ยังคงนับถือผีและพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด ยากยิ่งที่จะหันมานับถือศาสนาคริสต์ เพราะปรากฏมีคริสตสมาชิกเพียง 5 คน เป็นชาวกะเหรี่ยง 2 คน ชาวพม่า 1 คน(จากพม่า) คนไทย 1 คน และ "ชาวพื้นเมือง" (คงหมายถึงชาวมอญ-ผู้เขียน) ซึ่งเคยบวชเรียนมาแล้ว 1 คน ชื่อ "ออกบู"

จากการสัมภาษณ์คุณมาลัย ชุมศรี (ปัจจุบันอายุ 80 ปี) เป็นชาวบ้านม่วง ที่เป็นคริสเตียนเคยไปเรียนนครปฐม จบพยาบาลผดุงครรภ์ของคริสตจักรนครปฐม มีแหม่มคลาร์กเป็นอาจารย์ และเคยกลับมาสอนที่โรงเรียนในบ้านฝรั่ง ดงตาล นี้ ท่านเล่าว่า "คุณปู่ท่านชื่อ "ออกเปอร์ ยังโดด" เดิมเป็นชาวนครชุมน์ แล้วย้ายไปอยู่ที่บ้านม่วง เดิมนับถือศาสนาพุทธ และได้สนิทสนมกับ "ฝรั่ง" ที่มาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในระนะแรก (ฝรั่ง คงหมายถึง ศาสนาจารย์ฮัดสันและคุณหมอ-ผู้เขียน) จึงหันมานับถือศาสนาคริสต์ ฉะนั้น "ออกบู" คือ "ออกเปอร์ ยังโดด"

และออกเปอร์ ยังโดด คือ "คริสเตียนชาวมอญคนแรกของนครชุมน์และบ้านม่วง"

นับว่าการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในหมู่ชาวมอญแถบนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ คุณหมอจึงหันมาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในหมู่ชาวบ้านนครปฐมแทน จึงย้ายฐานมานครปฐม ซึ่งประสบผลสำเร็จมากกว่า

2.บ้านฝรั่ง ดงตาล อยู่ในทำเลค่อนข้างกันดาร อยู่ไกลชุมชนอื่นๆ การคมนาคมในสมัยนั้นก็ไม่สะดวกเท่าที่ควร

3.ด้านการศึกษา ชาวมอญมักให้ลูกชายเรียนหนังสือในวัด ลูกหญิงไม่ยอมเรียนหนังสือจึงไม่ค่อยมีใครไปเรียนนัก

ด้านเดียวที่ประสบผลสำเร็จ คือ ด้านการรักษาพยาบาลและสาธารณสุขแบบใหม่ ที่ชาวบ้านได้รับและเริ่มตระหนัก ชาวบ้านจึงมีความรู้สึกและทรงจำที่ดีกับบ้านฝรั่ง ดงตาล มาจนทุกวันนี้


บ้านฝรั่งดงตาล (ร้าง)

บ้านฝรั่ง ดงตาล ในฐานะสถานประเทศย่อย
(มิถุนายน 2449-สงครามโลกครั้งที่ 2)


ความทรงจำของชาวบ้านนครชุมน์และบ้านม่วงต่างเล่าว่า เมื่อคุณหมอและแหม่มคลาร์กย้ายไปแล้ว นานๆ จะมีฝรั่ง 2-3 คนมาสวด ร้องเพลง  คริสตสมาชิกของบ้านฝรั่งดงตาล คงจะช่วยดูแลและดำเนินภารกิจสถานประเทศนี้ได้บ้าง ทางคริสตจักรนครปฐมจะส่งศาสนาจารย์หรือผู้ประกาศมาเยี่ยมหรือสวดบ้าง

ในระหว่าง พ.ศ.2453-2465 (รวม 12 ปี) ศาสนาจารย์รอเบิรท์ ฮาลิเดย์ และครอบครัว จากสำนักคณะเชิชเชส ออฟ ไครสต์ ที่เมืองเย ในพม่า ได้เดินทางมาร่วมงานกับคุณหมอและแหม่มคลาร์กที่คริสตจักรนครปฐม โดยมุ่งเน้นเดินทางไปเผยแผ่ศาสนาและช่วยเหลือชาวมอญตามหมู่บ้านที่กระจัดกระจายอยู่ตามแม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำเจ้าพระยา เรือลำน้อย ชื่อ แสงอรุณ (Day Spring) ที่มีผู้อุทิศให้และนำมาจากอังกฤษ

ศาสนาจารย์ฮาลิเดย์ก็คงเป็น "ฝรั่ง" คนหนึ่งที่เคยไปสำนักประกาศบ้านนครชุมน์ ริมแม่น้ำแม่กลอง ท่านเห็นว่า ชาวมอญที่มีรกรากตามแม่น้ำต่างๆ ในประเทศไทยนั้นมีจำนวนมาก ล้วนเป็นประชาชนชาวไทยโดยกำเนิดอย่างสมบูรณ์

แสดงให้เห็นว่า การเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในหมู่ชาวมอญนั้น คณะเชิชเชส ออฟ ไครสต์ ได้พยายามอยู่ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ศาสนาจารย์ฮาลิเดย์จึงเดินทางกลับพม่า หลังจากใช้เวลาในเมืองไทยถึง 12 ปี ศาสนาจารย์ฮาลิเดย์เป็นผู้มีความรู้ เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์มอญและภาษามอญโบราณมาก ท่านได้เขียนหนังสือและแต่งปทานานุกรมภาษามอญ-ภาษาอังกฤษ ที่ใช้กับประเทศพม่าจนทุกวันนี้

ที่มา :
สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์. (2536). ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นลุ่มน้ำแม่กลอง : ศึกษากรณีชุมชนมอญบ้านม่วง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี. ลุ่มน้ำแม่กลอง : พัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรม. มหาวิทยาลัยศิลปากร : พิฆเณศ พริ้นท์ติ้ง เซ็นเตอร์. (หน้า 101-106)
อ่านต่อ >>

บ้านฝรั่งดงตาล ตอนที่ 1

"บ้านฝรั่ง ดงตาล" ศูนย์เผยแพร่ศาสนาคริสต์ ในหมู่ชาวมอญลุ่มน้ำแม่กลองและบ้านม่วง

บริเวณริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง ใต้วัดนครชุมน์ลงมาเล็กน้อย มีเรือนไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูงในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรม เพราะถูกทิ้งร้าง ท่ามกลางไม้หญ้าขึ้นรกเต็มพื้นที่ประมาณ 4 ไร่เศษ ผู้เฒ่าผู้แก่ฝั่งบ้านนครชุมน์ และฝั่งบ้านม่วงต่างรู้จักและมีความทรงจำที่ดีกับสถานที่นี้ ต่างเรียกขานกันว่า "บ้านครูเผ่" บ้าง "บ้านฝรั่ง ดงตาล" บ้าง

สถานที่แห่งนี้เคยเป็นศูนย์เผยแพร่ศาสนาคริสต์ (นิกายโปรเตสแตนท์ของคณะเชิชเชส ออฟไครสต์) ในหมู่ชาวมอญลุ่มแม่น้ำแม่กลองบริเวณบ้านโป่งถึงโพธาราม ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตอนปลายจนถึงสมันสงครามโลกครั้งที่ 2 (ราวประมาณ พ.ศ.2480 เศษ)

แต่คณะธรรมฑูตคณะเชิชเชส ออฟไครสต์ ต้องประสบกับความผิดหวัง กิจการเผยแพร่คริสต์ศาสนาในหมู่ชาวมอญได้ผลน้อยมาก อย่างไรก็ตาม คณะธรรมฑูตและบุคลากรของคริสเตียนที่บ้านฝรั่ง ได้นำระบบการรักษาพยาบาลแผนใหม่ และการศึกษามาให้ชุมชนมอญ โดยเฉพาะชุมชนชาวมอญบ้านนครชุมน์และบ้านม่วง

แหม่มคลาร์ก และคุณหมอคลาร์ก 2 ใน 3 ท่านแรก
ที่บุกเบิกตั้ง "บ้านฝรั่ง ดงตาล" นครชุมน์
"บ้านฝรั่ง ดงตาล" ชาวบ้านเรียกเพราะมีฝรั่ง 2-3 คน มาเริ่มโครงการเผยแพร่ศาสนาคริสต์และสร้างบ้านอยู่กันก่อน จึงเรียกว่าบ้านฝรั่ง ในบริเวณนั้นเป็นดงตาลจึงเรียกเพื่อบ่งสถานที่ชัดๆ

"บ้านครูเผ่" คือบ้านของผู้ประกาศศาสนาคนสุดท้ายที่มีบทบาทในการเผยแพร่ศาสนาและการรักษาแผนใหม่ ครูเผ่มีบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่ ซึ่งปัจจุบันเป็นเรือนร้างหลังเดียวที่เหลืออยู่ให้เห็น

แค่เอกสารของคริสเตียนจะเรียกว่า "บ้านนครชุมน์"  "บ้านมิชชั่นนารี ชาติอังกฤษ" "สถานประกาศ บ้านนครชุมน์" 

คณะเชิชเชส ออฟ ไครสต์ (Churches of Chirst) แห่งราชอาณาจักรอังกฤษ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่เมืองเบอร์มิงแฮม ในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ได้พยายามเผนแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ไปยังอาฟริกาและเอเชีย และในกลางพุทธศตวรรษที่ 25 (ตรงกับสมัยกรุงเทพฯ ราวรัชกาลที่ 5) ได้ตั้งสถานีประกาศศาสนาที่เมืองเย ของพม่าตอนใต้ เน้นการเผยแพร่ศาสนาในหมู่ชาวมอญโดยเฉพาะ โดยมีธรรมฑูตแกนนำที่สำคัญ 2 ท่าน คือ ศาสนาจารย์ ดร.รอเบิร์ท ฮาลิเดย์ กับครอบครัว และศาสนาจารย์แอลเฟรด อี ฮัดสัน

ต่อมาคณะธรรมฑูต คณะนี้ ทราบว่ามีชาวมอญในประเทศไทย โดยเฉพาะที่บริเวณลุ่มน้ำแม่กลอง ตั้งแต่บ้านโป่งถึงโพธารามนี้ จึงมีนโยบายเผยแพร่ศาสนาคริสต์ในหมู่ชาวมอญในประเทศไทยบริเวณนี้ด้วย

ศาสนาจารย์ แอลเฟรด อี ฮัดสัน ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการภารกิจนี้

นายฮัดสัน ได้ออกเดินทางจากเมืองเย ประเทศพม่าตอนใต้ บุกป่าฝ่าดง ข้ามแม่น้ำ เดินทางเข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี แล้วอาศัยซุงขุดเป็นเรือล่องแควน้อยลงมาถึงปากแพรก ต่อเรือโดยสารลงมาตามลำน้ำแม่กลอง มาถึง ต.นครชุมน์ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ซึ่งมีหมู่บ้านมอญทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2446

ที่ ต.นครชุมน์ ริมแม่น้ำแม่กลองนี้ นายฮัดสัน ซึ่งพูดภาษามอญได้ ได้รับการต้อนรับจากชาวบ้านด้วยดี จึงได้หาที่ดินแปลงหนึ่งริมแม่น้ำ อยู่ใต้วัดนครชุมน์ ปลูกกระท่อมหลังหนึ่ง (หลังคามุงจาก ฝาไม้ไผ่ และปูพื้นด้วยฝาง) ใช้เป็นห้องพักและห้องพยาบาล ห้องคนไข้ ในส่วนให้บริการชาวบ้าน นอกเหนือจากการเผยแพร่ศาสนาซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของคณะเชิชเชส ออฟ ไครสต์ นี้

เพราะฉะนั้น บ้านนครชุมน์ จึงเป็นจุดแรกในประเทศไทยที่คณะเชิชเชส ออฟ ไครสต์ ใช้เป็นที่เผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์

กระท่อมหลังแรกนี้ จึงเรียกว่า "First Mission House"

ศาสนาจารย์ฮัดสัน พบว่าบริเวณตำบลนี้มีชาวมอญอาศัยอยู่จำนวนมากทั้งสองฝั่ง

หลังจากศาสนาจารย์ฮัดสันเดินทางมาได้ 4 เดือน ก็มีคณะะรรมฑูตอีกคนหนึ่งที่สำคัญ คือ ศาสนาจารย์เปอร์ซี คลาร์ก (Percy Clark) หรือ "คุณหมอคลาร์ก" (เรียนจบหลักสูตรธรรมศึกษาอบรมช่างไม้การตีพิมพ์ และจบวิชาแพทย์ที่วิทยาลัยลีฟวิงสโตน ในนครลอนดอน) เดินทางมาสมทบช่วยเหลือในกิจการการเผยแพร่ศาสนา และถึงบ้านนครชุมน์ เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2446 (ขณะนั้น ท่านมีอายุได้เพียง 24 ปี)

ก่อนหน้านี้ คุณหมอได้เคยทำงานกับคณะเชิชเชส ออฟ ไครสต์ ในเมืองเย พม่า มาก่อนหลายเดือน จึงได้ฝึกภาษามอญเป็นอย่างดี คุณหมอเดินทางเรือเข้ากรุงเทพฯ วันรุ่งขึ้นจึงเดินทางด้วยรถไฟบรรทุกหินและฟืน วิ่งได้ช้ามาก กว่าจะถึงบ้านนครชุมน์ก็ค่ำพอดี สมัยนั้นบ้านนครชุมน์ไม่มีตลาดหรือร้านขายของเลย เครื่องอุปโภคบริโภค ต้องนำไปจากกรุงเทพฯ เป็นระยะๆ

ในวันที่ท่านไปถึง เกิดการยิงกันในบ้านม่วง มีผู้คนจำนวนหนึ่งบาดเจ็บมาให้ท่านรักษา และมีคนไข้ตาย 1 คน

ศาสนาจารย์ฮัดสันและคุณหมอคลาร์ก ได้ร่วมกันทำงานเผยแพร่ศาสนาในหมู่ชาวมอญทั้งสองฝั่งแม่กลอง และให้บริการชาวบ้านในการรักษาพยาบาล ต่อมาท่านทั้งสองได้สร้าง เรือนไม้ขนาดใหญ่ขึ้นอีกหลังหนึ่ง เพื่อให้พอสำหรับแบ่งส่วนเป็นที่นมัสการ ห้องยา สำหรับการรักษาพยาบาลชาวบ้านที่เจ็บป่วย และเปิดเป็นห้องเรียนให้ลูกหลานชาวมอญได้ศึกษาเล่าเรียน

ในขณะนั้น ยังไม่มีพระราชบัญญํติว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับ เด็กๆ จะได้รับการชักชวนเข้ามาเรียน โดยจัดให้มีครูไทยมาสอนให้อ่าน ให้เขียน และทำเลข นักเรียนมีน้อยมากระยะแรก ต่อมามีวัยรุ่นมาเรียนเยอะ เพราะนึกว่าถ้าเรียนหนังสือแล้วจะไม่ถูกเกณฑ์ทหาร แต่พอรู้ความจริงก็ไม่ค่อนมาเรียน

"บ้านฝรั่ง ดงตาล" ท่ามกลางไม้รก
ต่อมาในราว พ.ศ.2447 เกิดอหิวาตกโรคระบาดทั่วหมู่บ้านทั้งสองฝั่งแม่น้ำแม่กลอง คุณหมอต้องช่วยรักษาพยาบาลคนป่วยและกับผู้ช่วย ต้องขึ้นๆ ล่องๆ ตามลำน้ำ ออกแนะนำประกาศให้ชาวบ้านต้มน้ำดื่ม ให้รับประทานอาหารที่ปรุงสุกและสะอาด ควรใช้ส้วมที่มิดชิด นับว่าท่านมีส่วนช่วยเหลือชุมชนอย่างมาก และใหพื้นฐานความรู้ทางสาธารณสุขที่ดีก้าวหน้าแก่ชาวชนบท

หลายเดือนต่อมามีโรคฝีดาษระบาดขึ้น ชาวบ้านล้มตายจำนวนมาก เพราะปรากฏมีผู้ป่วยโรคนี้แทบทุกหลังคาเรือน คุณหมอได้นำวัคซีนมาระดมปลูกฝีป้องกันให้กับชาวบ้าน

อย่างไรก็ตาม ใน พ.ศ.2448 ศาสนาจารย์ฮัดสัน มีสุขภาพไม่ดีนัก จึงเดินทางกลับอังกฤษไป ท่านเป็นผู้บุกเบิกคนแรกและทำงานที่นครชุมน์ได้ประมาณ 2 ปีเศษ เหลือแต่คุณหมอแต่เพียงลำพัง

คุณหมอพบว่า ชาวมอญที่นี่เริ่มพูดภาษาไทยกันบ้างแล้ว จึงหัดพูดภาษาไทยด้วย

อย่างไรก็ตามในต้นปี พ.ศ.2449 คุณหมอได้กำลังสำคัญมาสนับสนุนและช่วยเหลืองานของท่านตลอดชีวิต คือ คุณแมรี่ เดนลีย์ (เรียนจบวิชาดนตรี พยาบาลและผดุงครรภ์) คู่รักซึ่งเดินทางมาจากประเทศอังกฤษ มาแต่งงานกันที่สิงคโปร์ในเดือนธันวาคม พ.ศ.2448 คุณหมอจึงได้พาภรรยาเดินทางมาประเทศไทยและไปถึงตำบลนครชุมน์ในเดือนมกราคม พ.ศ.2449 ชาวบ้านมักเรียกขานว่า "แหม่มคลาร์ก"

"คุณหมอคลาร์ก" และ "แหม่มคลาร์ก" ได้ร่วมกันทำงานที่บ้านนครชุมน์อีกประมาณ 5 เดือน ในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2449 ท่านทั้งสองก็ย้ายไปนครปฐมและเป็นบุคคลสำคัญในการบุกเบิกก่อตั้งคริสตจักรนครปฐมให้เกิดขึ้นเติบโต และเป็นปึกแผ่นจนทุกวันนี้  ท่ามกลางคริสเตียนชาวจีนเป็นส่วนใหญ่

ถึงกระนั้นคุณหมอและแหม่ม ก็ยังไปเยี่ยมเยียนที่บ้านนครชุมน์เป็นระยะ และบ้านนครชุมน์ก็กลายเป็นสถานประกาศย่อยของคริสตจักรนครปฐม มาจนถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงถูกทิ้งร้างไป

อ่านต่อ บ้านฝรั่งดงตาล ตอนที่ 2

ที่มา :
สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์. (2536). ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นลุ่มน้ำแม่กลอง : ศึกษากรณีชุมชนมอญบ้านม่วง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี. ลุ่มน้ำแม่กลอง : พัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรม. มหาวิทยาลัยศิลปากร : พิฆเณศ พริ้นท์ติ้ง เซ็นเตอร์. (หน้า 101-106)
อ่านต่อ >>

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ศาลต้นโพธิ์ของชาวบ้านม่วง

ชุมชนบ้านม่วง ต.บ้านม่วง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี และหมู่บ้านใกล้เคียง  เป็นชุมชนมอญ จากการบอกเล่าเชื่อกันว่าบรรพบุรุษรุ่นแรกอพยพมาจากประเทศพม่าในสมัยอยุธยาราวรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวร (พ.ศ.2133-2148) โดยติดตามพระมหาเถรคันฉ่อง ซึ่งเป็นพระสงฆ์เชื้อสายมอญนิกายมหายาน เข้ามาตั้งถิ่นฐานริมแม่น้ำแม่กลอง ให้ชื่อหมู่บ้านเหมือนบ้านเดิมในพม่าว่า "บ้านม่วง" และได้ตั้งวัดประจำหมู่บ้านว่า "วัดม่วง"

ชาวมอญบ้านม่วงนอกจากจะนับถือผีบรรพบุรษของแต่ละครอบครัวหรือตระกูลแล้ว ยังมีผีอื่นที่ชาวบ้านม่วงนับถือร่วมกัน คือ

1.ศาลต้นโพธิ์กลางทุ่งนา เป็นต้นโพธิ์เดิมที่ชาวบ้านม่วงนับถือมานานและจะร่วมทำพิธีเซ่นไหว้ในเดือน 6 ของทุกปี และปีใดฝนฟ้าไม่ค่อยตก ชาวบ้านม่วงจะทำพิธี "แคะขนมครก แห่นางแมวขอฝน" กันที่นี่

"..นางแมวเอ๋ย ขอฟ้าขอฝน ขอน้ำมนต์รดก้นนางแมว..น้ำแห้ง ให้ฝนตกหน่อย..." ชาวบ้านประมาณ 20-30 คนที่ร่วมขบวนแห่นางแมวจะร้องขอฝน ซึ่งสมัยก่อนที่จะมีเขื่อนวชิราลงกรณ์จะทำบ่อย ปัจจุบันไม่ค่อยมีประเพณีแห่นางแมวขอฝน นานๆ ครั้งและมิได้ทำการแคะขนมครกประกอบพิธีกันที่ศาลต้นโพธิ์กลางทุ่งนานี้อีกแล้ว เพราะต้นโพธิ์นี้ถูกตัดไปเมื่อ 10 ปีเศษ เนื่องจากเป็นจุดผ่านและตั้งเสาไฟฟ้าแรงสูง ชาวบ้านจึงย้ายไปไหว้ศาลต้นโพธิ์กลางหมู่บ้าน และไปแคะขนมครกกันที่วัดม่วงแทน

ศาลต้นโพธิ์กลางหมู่บ้าน
2.ศาลต้นโพธิ์กลางหมู่บ้าน ชาวบ้านเรียกว่า "เจ้าพ่อเจินและงิ่ม" หรือ "ศาลเจ้าพ่อช้างพัน" ที่ต้นโพธิ์กลางหมู่บ้านนี้มีเจ้าพ่อ 3 องค์ คือ เจ้าพ่อช้างพัน เจ้าพ่อกาหลง และเจ้าพ่อคลุกคลี (ชอบกินฝิ่น) ปัจจุบันมีการเซ่นไหว้ปีละ 2 หน คือ ในเดือน 4 และเดือน 6

ศาลต้นโพธิ์ในวัดม่วง ที่ชาวบ้านนับถือ
3.ศาลต้นโพธิ์ในวัด เรียกว่า "ศาลอาหน๊วก" หรือศาลหลวงตาหรือศาลหลวงปู่ ศาลนี้เมื่อมีงานและกิจกรรมใดๆ ในวัด จะต้องจุดธูปเทียนบอกกล่าวหรือขอนุญาตทุกครั้ง หรือบอกบนก็ได้


ที่มา : ข้อมูลและภาพ
สุภาภรณ์  จินดามณีโรจน์. (2536). ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นลุ่มน้ำแม่กลอง : ศึกษากรณีชุมชนมอญบ้านม่วง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี. ลุ่มน้ำแม่กลอง : พัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรม.  มหาวิทยาลัยศิลปากร : พิฆเณศ พริ้นท์ติ้ง เซ็นเตอร์. (หน้า 93-98)
อ่านต่อ >>

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ศรีศัมพูกปัฏฏนะ เมืองเก่าราชบุรีที่หายสาบสูญ

หลายท่านอาจเคยได้ยินที่หน่วยราชการได้พยายามหยิบเอาคำว่า "เมืองชยราชบุรี" ออกมาประชาสัมพันธ์แสดงให้เห็นว่าราชบุรีเป็นเมืองเก่าโบราณ ทำให้หลายคนลืม "เมืองศัมพูกปัฏฏนะ"  ไปเลยทีเดียว เมืองนี้ก็เป็นเมืองเก่าเช่นเดียวกันและปัจจุบันก็ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ จ.ราชบุรีด้วย ผมได้อ่านพบในหนังสือ พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ ราชบุรีและจังหวัดราชบุรี ซึ่งพิมพ์ขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2544 เลยพยายามไปค้นหามาจาก Google  ค้นไปค้นมานานพอสมควร จึงได้ไปพบ Blog ชื่อวรนัย http://www.oknation.net/blog/voranai  ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ “ศรีศัมพูกปัฏฏนะ” วิษัยนครตะวันตก .....ที่สาบสูญ  โพสต์โดยคุณศุภศรุต เมื่อวันที่ 13 ส.ค.2552 พร้อมมีภาพประกอบที่หาชมได้ยาก เลยคัดลอกมาเขียนไว้ในนี้ เพื่อเป็นความรู้ให้แก่คนราชบุรีต่อไป ลองอ่านดูนะครับ

“ศรีศัมพูกปัฏฏนะ” วิษัยนครตะวันตก .....ที่สาบสูญ
"จารึก" หลักหนึ่งพบในปราสาทร้าง ที่ตั้งอยู่สุดขอบบารายตะวันออก (East Baray) ในเขตเมืองพระนครหลวง เป็นจารึกสำคัญที่หลงรอดจากการ “ทำลาย”มาในแต่ละยุคสมัย

ปราสาทร้างหลังนั้นมีชื่อภาษาเขมรว่า “ปราสาทตอว์ (Parsat Tor)” หรือ “ปราสาทราชสีห์” เนื่องจากคำว่า “ตอว์” หรือ “ตาว” ในภาษาเขมรแปลว่า “สิงโต” ครับ

ปราสาทตอว์ เป็นปราสาทร้าง ในรูปแบบของอโรคยศาล (Arogaya-sala ,Hospital Chapel) หรือ โรงพยาบาลแห่งพระพุทธเจ้า กายสีน้ำเงิน พระนามว่า “ไภษัชยไวฑูรยประภาสุคต” แห่งนิกายพุทธศาสนา “วัชรยานบายน”

ชื่อปราสาทมากมายในประเทศกัมพูชาหรือในประเทศไทยก็ตาม ต่างก็ไม่พ้นชื่อที่ถูกตั้งขึ้นมาใหม่ จากประสบการณ์ ความจำเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เหตุการณ์ หรือความประทับใจของผู้คนที่ “ย้าย” ชุมชนเข้ามาครอบครองเหล่าพื้นที่ใกล้ปราสาทที่สาบสูญและสิ้นมนตราแห่ง “อำนาจ” ของเหล่าอาณาจักรโบราณเหล่านั้น

เช่นเดียวกับปราสาทตอว์ คงเพราะปราสาทตั้งอยู่ในที่รกร้าง ป่ารกชัฏเข้าปกคลุม รูปสลักสิงโตคู่ตรงทางเข้าคงเป็นที่มาของชื่อปราสาทแน่ ๆ
ถึงจะไม่ใช่เหตุผลนี้ ก็ใกล้เคียงล่ะครับ !!!

“จารึก” หลักสี่เหลี่ยมแบบหลักศิลาจารึก(เจ้า)ปัญหาของกรุงสุโขทัย หรือหลักกิโลเมตรเมืองไทย กล่าวถึงเรื่องราวแห่ง “ชัยชนะ” ของ “พระบรมโพธิสัตว์ชัยวรมัน - พระราชาผู้ปรารถนาความดีและประโยชน์อย่างยิ่งแก่มวลสัตว์โลก” ที่มีเหนือดินแดนตะวันตก

มันเป็นหลักฐาน “สงคราม” และชัยชนะของพระองค์เหนือเหล่า “พระราชาตะวันตก” บนแผ่นดินสุวรรณภูมิ !!!

อาณาจักรของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จากพระนครหลวงได้ขยายออกไปทางทิศตะวันตก และได้ปราบปราม ครอบครองหัวเมืองดั่งเดิมตามลุ่มแม่น้ำต่าง ๆ มาจนถึงลุ่มน้ำแม่กลอง หัวเมืองที่ยังเป็นวัฒนธรรมแบบ "ทวารวดี"

สอดรับกับหลักฐานจาก “จารึกปราสาทพระขรรค์” ในเมืองพระนครหลวง ที่กล่าวถึงการสร้าง “วิษัยนคร”(จังหวัด)  ขึ้นใหม่ 5 – 6 แห่ง ภายหลังชัยชนะของพระองค์ “อาณานิคม” ใหม่ของมหาอาณาจักรกัมพุเทศเกิดขึ้นแล้วที่ปลายทิศอัสดง !!!

“วิษัยนคร” ที่ถูกสถาปนานครขึ้นใหม่ 6 แห่ง มีนามเมืองตามจารึกว่า
  • เมืองศรีชัยวัชรปุระ (เพชรบุรี)
  • เมืองศรีชัยราชปุระ(ราชบุรี)
  • เมืองศรีชัยสิงหปุระ(ปราสาทเมืองสิงห์)
  • เมืองสุวรรณปุระ (เนินทางพระ- สุพรรณ ?)
  • เมืองสุพรรณภูมิปุระ (อโยธยา ?)
  • และเมืองศรีศัมพูกปัฏฏนะ (สระโกสินารายณ์)
แต่ทว่า ชัยชนะของพระองค์ก็ไม่ได้ยั่งยืนนัก ปราสาทและบ้านเมืองทั้งหลายได้เสื่อมสลายลงในเวลาไม่ถึงศตวรรษ !!!



ศรีศัมพูกปัฏฏนะ คือ เมืองโบราณโกสินารายณ์
“ศรีศัมพูกปัฏฏนะ” หรือชื่อใหม่ว่า ”เมืองโบราณโกสินารายณ์” ตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง ตามถนนสายบ้านโป่ง – กาญจนบุรี ในเขตตำบลท่าผา อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ครับ



จากภาพทางอากาศก่อนปี 2502 ทำให้เราได้เห็น “ผังเมือง” ของวิษัยนคร “ศรีศัมพูกปัฏฏนะ” อย่างชัดเจน เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีความกว้างเกือบเท่ากับความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร

ใจกลางเมืองเป็นที่ตั้งของ "จอมปราสาท" ปราสาทหินขนาดย่อม ซึ่งดูจากร่องรอยของหินทรายที่กระจัดกระจายอยู่โดยรอบ ที่ใช้เป็นวัสดสำหรับกรอบประตู หน้าต่าง ตามแบบแผนการก่อสร้างปราสาท "สุคตาลัย" (สถานบูชาพระพุทธเจ้าไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา หรือ พระอวโลกิเตศวร ประจำโรงพยาบาล "อโรคยศาล" ในยุคนั้น

วิษัยนคร “ศรีศัมพูกปัฏฏนะ” มีสระน้ำอยู่ภายในตัวเมืองรวม 4 ทิศ เรียกกันตามความนิยมในยุคหลังว่า สระนาค สระจรเข้ สระมังกร และสระแก้ว ซึ่งก็แทนความหมายของมหาสมุทรทั้ง 4 ที่รายล้อม "เขาพระสุเมรุ" ที่สถิตแห่งพระพุทธเจ้าสูงสุดบนสรวงสวรรค์

หลังจากครอบครองดินแดนตะวันตก และสถาปนาวิษัยขึ้น 6 แห่ง เมืองขนาดย่อม “ศรีศัมพูกปัฏฏนะ” จึงได้ถูกสร้างขึ้นตามเส้นทางน้ำแม่กลอง เพื่อการเชื่อมโยงเส้นทางระหว่าง “เมืองศรีชัยสิงหปุระ(ปราสาทเมืองสิงห์)” เมืองหลักของอาณานิคมนี้ กับ เมืองลวปุระ (ลพบุรี) และสุพรรณภูมิปุระ (อยุธยา) หัวเมืองใหญ่ของอาณาจักร

“สงคราม” ที่ไม่มีรายละเอียด... การเข้ายึดครองแผ่นดินลุ่มน้ำแม่กลองของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 คงไม่ได้ทำได้อย่างง่ายนัก จากหลักฐานที่เราพบ ทั้งที่ “ศรีศัมพูกปัฏฏนะ”(โกสินารายณ์) และเมืองศรีชัยสิงหปุระ(ปราสาทเมืองสิงห์) คือ การค้นพบ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมี" ทั้งสองแห่งครับ

พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมี
“พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมี” เป็นรูปเคารพสำคัญของลัทธิ "โลเกศวร" ซึ่งแตกออกมาจากศาสนาพุทธนิกาย “วัชรยานตันตระ” ซึ่งเป็นคติที่นิยมเฉพาะในช่วงสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เท่านั้นครับ เขาถือพระโลกเกศวรเปล่งรัศมีว่า "พระองค์เป็นประหนึ่งวิญญาณของจักรวาลที่ได้เปล่งประกายสารัตถะแห่งการช่วยเหลือสัตว์โลกให้หลุดพ้นจากภาวะทั้งปวง และความรอบรู้ชั้นสูงสุดยอดที่จะเผยแผ่ให้คงอยู่ได้ยาวนานตลอดไปด้วยจำนวนมากมายที่มีอยู่ของบรรดาพระพุทธองค์ทั้งหลายอันอยู่รอบพระวรกาย" 

รูปสลัก “เปล่งรัศมี” อันแสดงถึงอานุภาพแห่งพระโพธิสัตว์ จะพบเฉพาะในบ้านเมืองหรือ “เขต (Areas)” ที่มีความขัดแย้งหรือสงครามที่รุนแรง

ช่นเดียวกับที่ดินแดน “ตะวันตก” แห่งนี้ !!!

เมื่อสิ้นอำนาจแห่งองค์พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 วิษัยนครแห่งนี้ก็ยากแก่การป้องกันตัว “สงครามครั้งใหญ่” คงกลับมาเยือนอีกหลายครั้ง ทั้งเหตุการกระด้างกระเดื่องแยกตัวไม่ขึ้นกับกษัตริย์เมืองพระนครพระองค์ใหม่โดยเหล่ากมรเตงชคต (ผู้ปกครอง)เดิม

หรือจากเหตุการ "แย่งชิงอำนาจ" ในอาณานิคม รวมทั้งประเด็นการตามทำลายล้าง “สัญลักษณ์” และ“อำนาจ” อาณาจักรแห่งพระพุทธเจ้าโดยกษัตริย์พระองค์ใหม่ผู้ “ชิงชัง” ระบบ “ศาสนจักร”เดิม

และที่คงลืมไม่ได้ก็คือ “เหล่าพระราชาตะวันตก” อาจหวนคืนกลับมา ทวงแผ่นดินแม่กลองกลับคืนไป !!!

คร “ศรีศัมพูกปัฏฏนะ” จึงปรากฏร่องรอยของความขัดแย้ง รูปเคารพ “เปล่งรัศมี” ที่สลักไว้ปรามเหล่าผู้คนในอาณาจักรให้เกรงกลัวและภักดี ก็ถูกทุบทำลายอย่างย่อยยับ

“ปราสาทแห่งพระพุทธเจ้า” ก็มีร่องรอยถูกทำลายให้พังทลายลง ดั่งเพื่อถมทับอำนาจเก่าให้สาบสูญจมธรณีไป ......ตลอดกาล !!!

ซากเมืองศรีศัมพูกปัฏฏนะ-จอมปราสาทกลายเป็นศาลพระภูมิประจำโรงงาน
ซากเมืองโบราณ “ศรีศัมพูกปัฏฏนะ” ได้กลายมาเป็น เมืองโกสินารายณ์ มีการพัฒนามาโดยตลอด จากเมืองที่ถูกคลุมด้วยป่ารกกลายมาเป็นเมืองตามเส้นทางแห่งความเจริญ คลองชลประทานตัดผ่านเมือง กองหินที่เคยเป็นปราสาทถูกรื้อเอาหิน “ศิลาแลง” ไปใช้ประโยชน์ สระน้ำทั้งสี่ตื้นเขินและถูกไถถม คงเหลือแต่ สระโกสินารายณ์ ที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือติดกับกำแพงเมืองเดิม แนวกำแพงเมืองทางทิศเหนือ กลายมาเป็นคันคลองที่มีถนนอยู่ด้านบน เมื่อมีการพัฒนาและขุดลอก”สระโกสินารยณ์”

หลัง ปี 2519 เครือซิเมนต์ไทยได้เข้าดำเนินกิจการธุรกิจกระดาษ และบรรจุภัณฑ์ ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน อันเป็นที่ตั้งของ "จอมปราสาท" จัดสร้างเป็นโรงงานขนาดใหญ่ชื่อว่า “โรงงานสยามคราฟท์” ในเครือบริษัทเยื่อกระดาษสยาม จำกัด (มหาชน) จอมปราสาทจึงกลายไปเป็นเนินดินทำหน้าที่เป็นศาลพระภูมิประจำโรงงาน สระโกสินารายณ์ ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของเทศบาลตำบลท่าผา ก็ได้ดำเนินการพัฒนาปรับเปลี่ยน "โบราณสถาน" ที่เหลืออยู่ ให้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชุมชน

หากท่านต้องการเข้าไปเยี่ยมเยือน นครตะวันตกที่สาบสูญ อย่าง “ศรีศัมพูกปัฏฏนะ” ที่สระโกสินารายณ์ ก็สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ของโรงงาน เข้าไปเยี่ยมชมเนิน "จอมปราสาท" ได้เลยนะครับ วันนี้ กรมศิลปากรกับภาคธุรกิจเข้าได้เจรจาตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หุหุ


เมื่ออำนาจและเวลาผันผ่านไป
คงทิ้งไว้แต่เศษซากแห่งศักดิ์ศรี
เศษละออง กองทับ ใต้ปัฐพี
ฝังความดี ความร้าย ให้จดจำ"

คลิกดูภาพเพิ่มเติม
ที่มาข้อมูลและภาพ :
ศุภศรุต. (2552).วรนัย : “ศรีศัมพูกปัฏฏนะ” วิษัยนครตะวันตก .....ที่สาบสูญ . [Online]. Available : http://www.oknation.net/blog/voranai/2009/08/13/entry-1. [2553.สิงหาคม 4].
อ่านต่อ >>

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

รสรักว่าหวาน ยังไม่ปานเท่าข้าวหมากบ้านโป่ง

เมื่อ 20 ปีก่อน คนบ้านโป่งเมื่อจะเข้ากรุงเทพฯ มาเยี่ยมญาติพี่น้องเพื่อนฝูง ของฝากจากบ้านโป่งที่ผู้ได้รับก็ยินดี ผู้ให้ก็ภูมิใจ ก็คือ ข้าวหมาก  ที่ลือชื่อว่าอร่อยนักหนา ใครแวะมาบ้านโป่งก็ต่องแสวงหามาชิม แต่ปัจจุบันข้าวหมากบ้านโป่งไร้ชื่อ ไม่มีอยู่ในทำเนียบของฝาก เว้นเสียแต่คนเก่าจะบอกเล่าและพาไปชิมข้าวหมากเจ้าเก่าดั้งเดิม อันเป็นที่มาของข้าวหมากบ้านโป่ง

บนถนนแสงชูโต หน้าห้องแถวเล็กๆ ที่เกลื่อนไปด้วยเศษใบตอง หากมองดูผ่านๆ จะไม่รู้เลยว่า ที่นี่ คือ แหล่งพำนักของยายชิด ชื่นจิต เจ้าตำรับข้างหมากบ้านโป่งอันมีชื่อในอดีต  ต่อเมื่อล่วงเข้าสู่ข้างใน กลิ่นเหล้าหอมหวานจากการหมักข้าวเหนียวจึงลอยมากระทบจมูก และยิ่งมั่นใจมากขึ้นเมื่อเห็นคุณยายวัยกว่า 80 ปี กำลังตักข้าวเหนียวในกะละมังตรงหน้า ใส่ลงบนใบตองที่วางซ้อนกันหลายชั้นอย่างขะมักเขม้น แม้เมื่อฉันยกมือไหว้ทักทาย คุณยายก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมอง เพียงรับคำและเชื้อเชิญให้นั่ง

ขณะที่ไต่ถามถึงจุดประสงค์การมาของฉัน คุณยายก็ยังคงทำงานตรงหน้าต่อไม่หยุดมือ คุยกันจนที่เข้าใจและพอจะคุ้นเคยมากขึึ้นแล้วนั่นแหละ คุณยายจึงเริ่มเล่าเรื่องราวของตนเองและที่มาของข้าวหมากบ้านโป่ง

"ยายเป็นพวกลาว ทางสร้อยฟ้าโพธาราม คือมีย่าเป็นลาว ปู่เป็นคนกรุงเก่า ยายทำข้าวหมากมาตั้งแต่อายุ 17-18 ทำกินกันเองในหมู่พี่ๆ น้องๆ ไม่ได้ทำขาย ใครๆ แถวนั้นก็ทำกันได้ทั้งนั้นแหละ ยายมาทำขายตอนย้ายมาอยู่แถวบ้านโป่งแล้ว"

คุณยายชิดย้ายมาอยู่บ้านโป่งกับเด็กรับใช้เพียงสองคน โดยมาอาศัยอยู่กับป้าที่บ้านตรงข้ามที่ว่าการอำเภอ (ก่อนไฟไหม้ครั้งใหญ่) แรกเริ่มก็ไม่ได้สนใจจะทำขาย เพราะเวลานั้นที่ตัวเมืองบ้านโป่งก็มีแม่ค้าจากโพธารามหาบเอาข้าวหมากมาขายกันอยู่ก่อนแล้ว จนได้รับการกระตุ้นจากผู้เป็นป้า จึงเริ่มทำและนำมาวางขายหน้าบ้าน รสข้าวหมากที่หวานหอมดึงดูดให้มีลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาจึงขยับขยายเอาไปขายส่งให้แม่ค้าในตลาดและที่สถานีรถไฟ

รสชาติข้าวหมากแม่ชิด เริ่มเป็นที่ร่ำลือ ถึงกับในวันศีลวันพระ คนบ้านโป่งต้องมาสั่งซื้อข้าวหมากไปถวายพระกัน และเวลาจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องเพื่อนฝูงต่างถิ่น ก็ต้องมาแวะซื้อไปเป็นของฝาก วันไหนจะเดินทาง อยากได้ข้างหมากหวานมากหวานน้อย สามารถสั่งได้ตามต้องการ เพราะยายชิดจะบริการให้ตามสั่ง เป็นที่พออกพอใจของลูกค้า จนข้าวหมากบ้านโป่งกลายเป็นของฝากที่ขึ้นชื่อ และช่วงนี้เองก็เริ่มมีข้าวหมากเจ้าอื่นๆ ทยอยทำตามกันมา

"ทำไม่ยาก ใครๆ ก็ทำได้ แค่เอาข้าวเหนียวมานึ่ง ใส่ลูกแป้งลงคลุกเคล้า ก็ตักใสห่อทิ้งไว้ได้แล้ว" ยายชิดบ่ายเบี่ยงที่จะตอบ เมื่อถูกถามถึงเคล็ดลับและวิธีการทำข้าวหมากให้อร่อยเป็นที่ถูกปากนักชิมข้าวหมากทั้งหลาย แต่คุยกันนานเข้า ยายชิดจึงค่อยๆ เผยความว่า

"ต้องเลือกแต่ของดีๆ มาทำข้าวเหนียวอย่างดี ลูกแป้งดี ลูกแป้งไม่ดีทำไว้สามสี่วันก็เปรี้ยวแล้ว ถ้าเป็นของดี เก็บข้างหมากไว้ได้ถึงเจ็ดวัน แต่จะหวานมาก..ที่กินข้าวกรุบก็เพราะข้าวเหนียวไม่ดี มีข้าวเจ้าปน ต้องเลือกต้องพิจารณา...อย่างข้าวเหนียวต้องรู้ว่าเป็นข้าวเก่าหรือข้าวใหม่ เพราะมีผลเวาแช่ข้าว ว่าจะแช่นานหรือไม่นาน ปกติยายแช่ข้าวเหนียวคืนเดียว พอรุ่งเช้าก็นึ่งแล้ว เวลานึ่งต้องนึ่งให้ข้าวสวยเป็นเม็ดไม่แฉะ ถ้าแฉะข้าวหมากจะเละ ทิ้งไว้จนข้าวเย็น ก็เอาลูกแป้งมาบี้ให้ละเอียด ผสมคลุกเคล้ากับข้าวเหนียว  ยายใช้ลูกแป้งหนึ่งลูกกับข้าวสี่ลิตร หากใช้ลูกแป้งน้อยจะไม่หวาน เมื่อคลุกเคล้ากันดีแล้วก็ตักใส่หอได้เลย หมักทิ้งไว้สองคืน ส่งขายได้ ตอนนี้จะยังไม่หงานมาก ถ้าอยากให้หวานจัดก็ทิ้งไว้สามคืน หากเป็นหน้าหนาวก็ต้องสามคืนเหมือนกันจึงจะดี ซื้อไปก็เก็บใส่ตู้เย็นเก็บไว้กินได้เลย แต่ถ้าข้าวหมากยังไม่ได้ที่ เอาไปเข้าตู้เย็นมันจะคืนตัว ข้าวกรุบแข็งเลย"

"ข้าวหมากยายจะห่อด้วยใบตอง แล้วใช้ใบมะพร้าวเตียว ทำอย่างนี้มากเก่าแก่ แต่ก่อนตักใส่กันบนใบตองเลย ไม่ได้มีพลาสติกรองอย่างเดียวนี้หรอก แต่คนกินเขาบอกว่ามันไม่สะอาด ยายเลยต้องใช้พลาสติกกับเขาเหมือนกัน แต่ยายว่าใส่ใบตองมันหอมนะ"

ข้าวหมากยายชิด ปัจจุบันจึงมีทั้งใส่ถุงพลาสติกและใส่ใบตองวางขาย หากใส่ถุง ขายถุงละ 5 บาท แต่ถ้าห่อใบตอง ขายเป็นพวง พวงละ 20 บาท มีห้าห่อ ทุกวันนี้นอกจากวางขายที่บ้านแล้ว ข้าวหมากยายชิดยังมีวางขายที่ร้านกาแฟบนถนนทรงพลด้วย

ก่อนลากกลับ ฉันกระซิบถามยายชิดว่า ข้าวหมากที่ดีนั้นต้องงมีคุณสมบัติอย่างไร

"ต้องหวานสนิทและข้าวไม่กรุบน่ะสิ อย่างของยายไง เคยมีคนมาถามแบบนี้ แล้วเขาเอาไปเขียนเปรียบว่า ข้าวหมาากของยาย "รสรักว่าหวาน ยังไม่ปานเท่าข้าวหมากบ้านโป่ง" "

หมายเหตุ : ขณะกำลังจัดทำต้นฉบับ ผู้เขียนได้ทราบข่าวว่า คุณยายชิดเสียชีวิตแล้ว จึงขอคารวะมา ณ ที่นี้ ปัจจุบันข้าวหมากยายชิดยังผลิตขายอยู่  โดยมีป้าน้อย อินทะแพทย์ เป็นผู้สืบทอดฝีมือต่อ

ที่มา :
ข้อมูล : สุดารา สุจฉายา. (2541). รสรักว่าหวาน ยังไม่ปานเท่าข้าวหมากบ้านโป่ง. ราชบุรี. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สารคดี. (หน้า 290-291)
ภาพ: http://kawmakcup.ob.tc/picture/12661/1266111577kawmakcup.jpg
อ่านต่อ >>

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

โจรปล้นสิบครั้ง ไม่เท่าไฟไหม้บ้านโป่งครั้งเดียว


"รถดับเพลิงจากกรุงเทพฯ รุดระงับเหตุตลาดบ้านโป่งทั้งตลาดวอด" (หนังสือพิมพ์ยวันพิมพ์ไทย : 10 กันยายน 2497)

"โศกนาฎกรรมใหญ่ยิ่งรอบสัปดานี้ ได้แก่พระเพลิงผลาญตลาดบ้านโป่งราพพณาสูร ประมาณค่าเสียหายกว่า 100 ล้านบาท" (หนังสือพิมพ์รายวันสารเสรี : 11 กันยายน 2497)

"เสด็จประพาสต้นเยี่ยมราษฎรที่ประสพเพลิงไหม้อำเภอบ้านโป่ง" (หนังสือพิมพ์รายวันศรีกรุง : 15 กันยายน 2497)

ไฟไหม้บ้านโป่งเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ.2497 นับเป็นไฟไหม้ใหญ่ครั้งที่ 2 หลังจากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาเมื่อ 19 ปีก่อน หนังสือพิมพ์พาดหัวเป็นข่าวใหญ่เกือบทุกฉบับ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จทรงเยียมให้กำลังใจราษฎร จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ต้องรุดมาบัญชาการยังที่เกิดเหตุด้วยตนเอง เหตุการณ์ครั้งนั้น นับเป็นตำนานความวิปโยคของคนบ้านโป่งที่เล่าขานกันไม่จบสิ้น

คุณยายบ้วย แซ่โง้ว ปัจจุบันอายุกว่า 70 ปี หนึ่งในผู้สูญเสียทรัพย์สินไปกับกองเพลิง ได้เล่าเหตุการย้อนหลังเมื่อ 40 ปีมาแล้วได้อย่างละเอียด ประหนึ่งว่า เรื่องราวเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้

"รถดับเพลิงทั้งจากกรุงเทพฯ และนครปฐม ต้องเรียกมาช่วยกัน ไหม้ตั้งแต่บ่ายสองโมงครึ่งถึงห้าโมงเย็น 12 ซอย สี่ถนน เริ่มตั้งแต่ปากซอย 6 ซึ่งเวลานี้เป็นร้านเฟอร์นิเจอร์ ไหม้ทั้งตลาดล่างและตลาดบน วอดวายทั้งเมือง บ้านต้นเพลิงเป็นร้านขายของโชวห่วยทั้งปลีกและส่ง มีนม เนย ไม้ขีดไฟ ฯลฯ ส่งไปขายเหมืองปิล็อกที่เมืองกาญจน์แล้วขาดทุน หรืออย่างไรไม่ทราบ ก็เลยวางเพลิง เขาลือกันว่าวางเพลิงครั้งหนึ่งแล้วในตอนกลางคืนก่อนวันเกิดเหตุ แต่มีคนเห็นก่อนจึงดับทัน ฉันนั้นไม่รู้ว่าเป็นอุบัติเหตุหรือวางเพลิงกันแน่"

"คุณเอ๋ย หนีกันจ้าละหวั่นสุดชีวิต ขวัญหนีดีฝ่อ ฉันกำลังลูกอ่อน อายุขวบเดียว ลูกอีกสี่คนไปโรงเรียนหมด ใจก็เป็นห่วงลูก ครูเขาก็ไม่ยอมให้ออกมา...ต่างคนต่างเอาตัวรอด ญาติพี่น้องที่อยู่ในกรุงเทพฯ รู้ข่าวรีบรุดมาบ้านโป่งช่วยกันขนของ คล้อยหลังมาแป๊บเดียว หันไปอีกที ไฟไหม้บ้านเมื่อไหร่ไม่รู้ ทั้งที่บ้านเราก็อยู่กันคนละฝั่งกับบ้านที่ไฟไหม้ คิดดูว่าเร็วขนาดไหน ลมแรงพัดสังกะสีมุงหลังคาบ้านหมุนติ้วขึ้นกลางอากาศ ฉันคว้ากระสอบได้ จับเสื้อผ้ายัดใส่...จะใส่กระเป๋าหรือถุงก็กลัวไม่จุ กลัวจะไม่มีเสื้อผ้าให้ลูกใส่ ตอนนั้นฐานะไม่ค่อยดี ขณะที่เราขนของวิ่งไปกองริมแม่น้ำแม่กลอง ขโมยมันฉวยโอกาสขนลงเรือพายหนีไป โอ้ เวรกรรมของฉัน"

"มีอาแป๊ะคนหนึ่ง บ้านแกขายผ้าห่มผ้าขนหนู เสื้อผ้าดีๆ ทั้งนั้น เป็นร้านใหญ่สองห้องอยู่ติดกับบ้านต้นเพลิง แกเป็นประธานโรงเจ มีหน้าที่เก็บเงินทองรายได้ของโรงเจไว้เป็นจำนวนมาก ก็ไปกับไฟหมด แกไม่ยอมหนีออกมา ยอมให้ไฟคลอกตาย แกว่าหมดแล้ว..ไม่มีอะไรเหลือแล้ว อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนหลังเพื่อนบ้านต้องไปอุ้มออกมา"

"ในหลวงกับพระราชินี ท่านเสด็จกลับจากหัวหินด้วยรถไฟ ท่านรู้ข่าวก็เสด็จลงเยี่ยมประชาชน ต่อมาอีกไม่กี่วัน ท่านก็มาแจกของ จำได้ว่าวันนั้นค่ำแล้ว ชาวจีนไหหลำอยู่ท่าเรือเมล์ เข้าไปกอดขาท่าน ร้องไห้พร่ำพรรณนาว่าไม่มีที่พึ่งแล้ว ในหลวงพระราชทานเงิน เขาว่าให้เป็นพัน ตอนนั้นมูลนิธิต่างๆ ก็เอาเงินเอาของมาบริจาค เพื่อนบ้านแถบที่เขาไม่โดนไฟไหม้ก็หุงข้าวปลามาให้กิน แต่มันกินไม่ลงหรอก เพราะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คิดอย่างเดียวว่าเราจะไปอยู่ที่ไหนดี ที่เราเคยอยู่ก็เช่าเขาอยู่ เจ้าของเดิมเขาก็ดี อุตส่าห์เอาสังกะสีมาทำเพิงให้อยู่ชั่วคราวไปก่อน ต่างคนต่างสร้างไม่กี่วันก็เสร็จ ไอ้ซากตอเสาไหม้ไฟก็ยังไม่ดับดี...ยังไหม้อยู่อย่างนั้น หลายวันกว่าจะดับสนิท บ้านที่ขายข้าวสาร ไฟยังไหม้ข้าวสารอยู่เลย ข้าวสารนี่ดับยากนะ เป็นสิบวันกว่าจะมอดดับหมด บางคนก็เข้าไปรื้อข้าวของเงินทอง หวังว่าจะหลงเหลืออยู่ในกองเพลิงบ้าง ความเป็นอยู่แย่ ข้าวของก็ขายไม่ดี จะซื้อของหวานของเค็ม ก็ไม่มีแหล่งจะให้ซื้อ เพราะไฟไหม้หมด..กว่าจะฟื้นตัวได้เป็นปี ไหม้หมดทุกที่ เหลือแค่ตรงสถานีรถไฟเท่านั้น"

"ที่เราดูหนังเห็นคนตื่นไฟแบกโอ่งแบกตู้หนี เหมือนกับในหนังยังไงยังงั้น บางคนแบกโอ่งออกมา โถนึกย้อนกลับไป ขำก็ขำ สมเพชก็สมเพช ที่บ้านยังมีโอ่งเหลือจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ไฟไหม้บูดเบี้ยวเก็บไว้เป็นที่ระลึก"

เหตุการณ์ไฟไหม้บ้านโป่งครั้งใหญ่คราวนั้น จากการรายงานข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ ระบุว่าเกิดจากการลอบวางเพลิง โดยเกิดขึ้นที่ห้องชั้นบนของบริษัทฮั่วเส็ง ติดต่อกับร้านเต๊กเซ้ง เพลิงได้เผาพลาญตัวเมืองบ้านโป่งกว่า 150,000 ตารางเมตร ส่วนมากเป็นที่ดินแลละบ้านเรือนของหลวงสิทธิเทพการ ซึ่งเป็นเจ้าของตลาดบน และนางทองคำ วงศาโรจน์ ซึ่งเป็นเจ้าของตลาดล่าง ต่างก็เป็นตระกูลเก่าและเศรษฐีที่ดินแห่งบ้านโป่ง เหตุการณ์คราวนั้นมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยสองราย สูญหายห้าคน และสูยเสียทรัพย์สินมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท นับเป็นจำนวนเงินมหาศาล เมื่อเทียบกับข้าครองชีพย้อนหลังไปเมื่อกว่า 40 ปีก่อน

จากเมืองที่มีแต่อาคารบ้านเรือน ทำด้วยไม้หลังคามุงกระเบื้อง ทั้งชั้นเดียวและสองชั้น บางบ้านตัวบ้านเป็นไม้ไผ่ขัดแตะหลังคาจาก บ้านตึกยังไม่ค่อยมีให้เห็น ปัจจุบันกลับกลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยอาคารพาณิชย์ ยุค จอมพล ป.พิบูลสงคราม คือเป็นตึกสองชั้น ไม่เน้นการประดับตกแต่งด้วยปูนปั้นอยางที่เคยเป็นมา จะมีก็แต่เพียงเส้นแนวตั้งและแนวนอนตามขอบหน้าต่างและกัสาดของอาคาร นับเป็นอาคารสมัยใหม่ในยุคนั้น

คนบ้านโป่งบางคนกล่าวว่า เมืองบ้านโป่งก่อนไฟไหม้มีตอกซอกซอยแยกย่อยคดเคี้ยว แต่พอหลังเหตุการณ์ มีซอยมีถนนตัดแบ่งแยกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยมากระทั่งทุกวันนี้ ด้วยมีเจ้าของที่ดินรายใหญ่เพียงสองคนเท่านั้น การปรับเปลี่ยนผังเมืองใหม่สมัยนายกเทศมนตรีกิจ ทรัพย์เย็น จึงเป็นเรื่องที่กระทำได้โดยสะดวก

ไฟไหม้ครั้งใหญ่คราวนั้น จึงนำทั้งความสูญเสียและการเปลี่ยนแปลงมาสู่บ้านโป่ง


สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม
-ไฟไหม้ตลาดบ้านโป่ง 1
-ไฟไหม้ตลาดบ้านโป่ง 2-http://www.pantown.com/board.php?id=1607&area=&name=board1&topic=31&action=view
ที่มาข้อมูล :
-สุดารา สุจฉายา.(2541). ราชบุรี. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สารคดี. (หน้า 432-433)
อ่านต่อ >>