แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ตำนานศาลเจ้าแม่เบิกไพร บ้านโป่ง

เมื่อวันที่ 8 ก.พ.2554 ผมได้ไปธุระที่วัดปากบาง ต.ลูกแก อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลองฝั่งขวา ขากลับเลยลองขับรถเรื่อยๆ บนถนนเล็กๆ อันคดเคี้ยว เลียบริมแม่น้ำแม่กลองฝั่งขวา ผ่านหมู่บ้านและวัดหลายแห่ง จนมาถึงราชบุรี  ในช่วงเข้าเขต อ.บ้านโป่ง ผมได้ผ่าน ศาลเจ้าแม่เบิกไพร ซึ่งเป็นศาลที่เก่าแก่มาก เป็นที่เคารพสักการะของชาวราชบุรี และจังหวัดใกล้เคียง โดยเฉพาะชาวเรือ มาแต่อดีต และขึ้นชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก เลยตั้งใจจะกลับมาค้นหาเรื่องราวและตำนานของศาลเจ้าแม่เบิกไพร ตามที่มีบันทึกเอาไว้ในหนังสือหรือเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งพออ่านแล้ว อาจจะมีความไม่สอดคล้องหรือขัดแย้งกันอยู่บ้าง แต่ก็เป็นตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมา ...ลองอ่านดูนะครับ...

ที่ตั้งศาลเจ้าแม่เบิกไพร อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี
ภาพจาก Google Map

เจ้าแม่เบิกไพรเป็นบุตรีของชาวประมง
คุณมโน  กลีบทอง ได้สัมภาษณ์นางกิมเต็ง แซ่ตั๊น (นางละออง ศรีคำ) อายุ 72 ปี ผู้ดูแลศาลเจ้าแม่เบิกไพร ไว้เมื่อวันที่ 8 ก.ย.2541 ซึ่งนางกิมเต็งฯ ได้เล่าประวัติเจ้าแม่เบิกไพรไว้ว่า

"ท่านเป็นบุตรีของชาวประมง มีพี่ชายหนึ่งคน ระหว่างที่ท่านอยู่ในครรภ์มารดา มารดาของท่านรับประทานแต่อาหารเจ และเมื่อเจ้าแม่คลอดจากครรภ์มารดา เจ้าแม่ก็รับประทานแต่อาหารเจจนตลอดชีวิตของท่าน เหตุที่ท่านเป็นที่นับถือของคนเดินเรือ เนื่องมาจากวันหนึ่งบิดาและพี่ชายของท่าน ออกหาปลาด้วยเรือคนละลำ เกิดพายุใหญ่ทำให้เรือของบิดาและพี่ชายโดนพายุเกือบจะอับปาง ท่านได้ตั้งจิตช่วยเหลือด้วยการใช้ปากคาบเรือของบิดาและใช้มือสองข้างจับเรือของพี่ชาย

ขณะนั้นมารดาและพี่สะใภ้มาพบเข้าและไม่รู้ว่าเจ้าแม่กำลังตั้งจิต จึงร้องเรียก เจ้าแม่ขานรับคำ เรือของบิดาท่านจึงหลุดออกจากปากจมลงทะเล ท่านเสียใจมากที่ช่วยบิดาไว้ไม่ได้ จึงตั้งใจจะช่วยคนเดินเรือทุกคนให้เดินเรือด้วยความปลอดภัย จากนั้นท่านจึงเดินลงทะเลหายไป ตั้งแต่นั้นมาชาวเรือที่บูชาเจ้าแม่จะเดินเรือด้วยความปลอดภัย"

ผงธูปของเจ้าแม่เทียงโหวเซี้ยบ้อ
ในเว็บไซต์ห้องสมุดออนไลน์ MyfirstInfo ได้เขียนประวัติของศาลเจ้าแม่เบิกไพรไว้เมื่อ 26 พ.ย.2550 ดังนี้

"ในราวปี พ.ศ.2317 นายเม่งตะ แซ่ตั้น พ่อค้าชาวจีนได้เดินทางโดยทางเรือเข้ามาค้าขายที่เมืองราชบุรี หรือที่เรียกว่าเมืองคูบัวในสมัยนั้น นายเม่งตะฯ เป็นผู้ที่มีความเคารพศรัทธาต่อเจ้าแม่เทียงโหวเซี้ยบ้อ จึงได้นำผงธูปที่ไหว้เจ้าแม่ติดตัวมาด้วยจากประเทศจีน เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจระหว่างการเดินทาง และเมื่อเดินทางมาถึงที่บ้านโป่งก็ได้สร้างศาลเล็กๆ ขึ้นหลังหนึ่ง พร้อมทั้งได้นำผงธูปที่ติดตัวมานั้นประดิษฐานไว้ ต่อมาศาลแห่งนั้นก็ได้รับความเคารพจากชาวจีนในบ้านโป่งต่อมา และได้ขนานนามศาลเจ้าแห่งนั้นไว้ว่า "ศาลเจ้าแม่เบิกไพร" เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวเรือ เชื่อว่าจะคุ้มครองให้ปลอดภัย และเบิกทางให้ไปถึงจุดหมายด้วยดี"

ความเชื่อมโยงระหว่างเจ้าแม่เทียงโหวเซี้ยบ้อและบุตรีของชาวประมง
จากตำนานทั้ง 2 เรื่องทำให้ผมลองสืบค้นหาความเชื่อมโยงระหว่างเจ้าแม่เทียงโหวเซี้ยบ้อและบุตรีของชาวประมง ว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างไร จึงไปพบเรื่องราวที่โพสต์เอาไว้ในเว็บบอร์ด หัวข้อ เจ้าแม่สวรรค์ เจ้าแม่ทับทิม ในเว็บไซต์ Phuketvegetarian.com เขียนเอาไว้น่าสนใจ ดังนี้

คุณศิษย์เหล่าเอี๊ย โพสต์ว่า "เจ้าแม่ทับทิม หรือเทพยุดาตุ้ยบ้วยเต๋งเหนี่ยง ที่ชาวไหหลำให้ความเคารพบูชา ท่านเป็นเทพยดาแห่งความเมตตา ส่วนเจ้าแม่เทียงเซียงเซี่ยบ้อ หรือเทียนโหวเซี่ยบ้อ ไหหลำเรียกเทียงโหวเต๋งหม้าย เต๋งหม้ายก้อคือ เซี่ยบ้อ เป็นเจ้าแม่ทางน้ำ แต่จริงๆ ถ้าแปลตามชื่อเจ้าแม่ทับทิมน่าจะดูแลรักษาทางน้ำมากกว่า...."

คุณศิษย์อาม่า โพสต์ว่า "หม่าโจ้ว  จุ้ยบ๊วยเนี้ยว  เทียนโหวเซี่ยบ้อ  หม่าจ๋อโป๋  เจ้าแม่โต๊ะโม๊ะ  เจ้าแม่เบิกไพร  เจ้าแม่เขาสามมุข  ชื่อทั้งหมดนี้เป็นชื่อเรียกของอาม่า (เจ้าแม่ทับทิม)  ทั้งหมดครับ  การเรียกชื่อในแต่ละท้องที่นั้นไม่เหมือนกัน  จึงทำให้มีหลากหลายชื่อ...."

คุณศิษย์ซือจุง โพสต์ว่า "เจ้าแม่ทับทิมมีทั้งหมด 4 องค์นะครับ (เท่าที่พบเห็นในประเทศไทย) เรียงลำดับดังนี้คือ
  1. เทียนโหวเซี้ยบ้อหรือหม่าโจ้ว (เจ้าแม่ทับทิมเดือน 3 ) เช่น เจ้าแม่โต๊ะโมะ จ.นราธิวาส เจ้าแม่ม่าผ่อ จ.ยะลา เจ้าแม่เบิกไพร จ.ราชบุรี
  2. จุ้ยบ่วยเสี่ยเนี้ยหรือตุ้ยบ้วยเต๋งเหนี่ยง เป็นเจ้าแม่ทับทิมเดือน 10 ที่ชาวไหหลำให้ความเคารพนับถือมาก ตามประวัติที่แกะจากขอนไม้ลอยน้ำแล้วนำมาแกะสลักเป้นองค์เจ้าแม่
  3. ไท้ฮั้วเสี่ยเนี้ยหรือไท้หว่าโผ่ (เจ้าแม่ทับทิมเดือน 6) เป็นเจ้าแม่ที่มีประวัติลึกลับคล้ายๆกับจุ้ยบ่วยเนี้ยคือไม่มีชีวิตเป็นตัวเป็นตนจริง ซึ่งที่ตลาดน้อย ริมคลองผดุงเกษมจะมีศาลของไท้ฮั้วโผ่อยู่
  4. เจี่ยสุ้นเสี่ยเนี้ยหรือเจ้าแม่ทับทิมเดือน 2 ซึ่งศาลท่านที่พบเห็นแถวย่านบางโพ ซึ่งมีประวัติคล้ายๆ ท้าวสุรนารี (ย่าโม) หรือคุณหญิงมุก ของชาวภูเก็ต เป็นวีระสตรีผู้กล้า มีประวัติจารึกอยู่ที่ไหหลำ ประเทศจีน"
ส่วนในหนังสือ 8 ชาติพันธุ์ในราชบุรี ศรีวิชัย  ทรงสุวรรณ ได้เขียนไว้ว่า "....ในการขึ้นล่องค้าขายทางเรือของชาวจีน เมื่อผ่านคุ้งน้ำสำคัญๆ ก็ได้นำวัฒนธรรม ความเชื่อตามประเพณีบอกเล่า ได้สร้างศาลที่พวกตนนับถือมาตั้งแต่อยู่เมืองจีน เช่น ชาวไหหลำนิยมสร้างศาลเจ้าแม่ชุ่ยเว่ยเหนียง หรือเจ้าแม่ชายน้ำ ที่คนไทยรู้จักในชื่อของเจ้าแม่ทับทิม ที่ตำบลท่าผา อ.บ้านโป่ง ขณะที่ชาวแต้จิ๋ว ได้สร้างศาลทับศาลดั้งเดิมของคนพื้นเมืองมาก่อนที่คนไทยเรียกว่า ศาลเจ้าแม่เบิกไพร อ.บ้านโป่ง.....

จากข้อมูลที่ค้นหามา ผมก็ยังค่อนข้างสับสนอยู่พอสมควร แต่พอจะสรุปได้ว่า เจ้าแม่เบิกไพร เจ้าแม่เทียนโหวเซี่ยบ้อ และเจ้าแม่ทับทิม น่าจะเป็นองค์เดียวกัน และมีความเกี่ยวข้องกับทางน้ำ (การประมงและการเดินเรือ) จริง (เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ ใครมีข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆ กรุณาเพิ่มเติมไว้ได้ที่ท้ายบทความนี้) 

บันทึกศาลเจ้าแม่เบิกไพร ในสมุดราชบุรี พ.ศ.2468
"เจ้าแม่องค์นี้ เป็นที่เลื่องลือในความศักดิ์สิทธิ์แพร่หลายไปถึงต่างจังหวัดที่ใกล้เคียง ศาลเจ้าแม่ตั้งอยู่ริมฝั่งขวาลำน้ำแม่กลอง ณ ตำบลเบิกไพร ท้องที่อำเภอบ้านโป่ง อยู่เยื้องตลาดบ้านโป่งลงมาทางใต้ระยะทางประมาณ 40 เส้น

ภาพศาลเจ้าแม่เบิกไพร ในสมุดราชบุรี พ.ศ.2468
เจ้าแม่องค์นี้ได้มีปรากฏมาแต่กาลนานก่อนตั้งที่ว่าการอำเภอและตลาดบ้านโป่ง แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่ามีมาอย่างใด เมื่อครั้งไร ศาลของเจ้าแม่โดยเหตุที่ตั้งอยู่ริมน้ำและตรงท้องคุ้งตลิ่งพัง จึงได้มีการขยับเลื่อนหนีน้ำประมาณ 2 ครั้งแล้ว ในบัดนี้ลักษณะรูปศาลคงเป็นเช่นเรือนฝากระดาน 2 หลังแฝด หลังคามุงสังกะสี พื้นกระดานขนาดกว้างยาว 4 วา 2 ศอก สี่เหลี่ยม ความเป็นอยู่ภายในเหมือนอย่างศาลเจ้า

รูปเจ้าแม่ในบัดนี้ เป็นรูปพระจีนทรงเครื่องปิดทองนั่งอยู่บนฐานสูงประมาณ 1 ฟุต และมีรูปสาวกอีก 2 องค์ ความจริงเจ้าแม่ควรจะเป็นเทพารักษ์อย่างไทยๆ แต่ที่กลายเป็นไปอย่างจีนและศาลก็เป็นศาลเจ้าไปเช่นนี้ เพราะเหตุด้วยคนจีนเป็นผู้ปกครองดูแลศาลและความนิยมนับถือก็อยู่ในหมู่ชาวจีนเป็นส่วนมากด้วย

แต่อย่างไรก็ดีเกือบจะกล่าวได้ว่า เจ้าแม่องค์นี้ราษฎรมีความนิยมนับถือในความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าเทพารักษ์องค์อื่นๆ ในจังหวัดราชบุรี ตามปกติมีผู้ไปเซ่นไหว้ทุกวัน วันละหลายๆ พวก บ้างไปบนบานศาลกล่าว บ้านก็ไปเสี่ยงทายขอใบเซียมซี  ด้วยปรากฏว่าใบเสี่ยงทายมีความศักดิ์สิทธิ์แน่นอนมาก บรรดาชาวเรือแทบทุกลำที่ขึ้นล่องผ่านหน้าศาล ต้องทำการเซ่นไหว้มีจุดธูปเทียนเผากระดาษเงิน ทอง และจุดประทัด นับว่าในวันหนึ่งๆ ที่ศาลนี้จะไม่ขาดเสียงประทัดเลย

กำหนดเวลาที่ราษฎรไปไหว้กันมากก็คือระหว่างใกล้ตรุษจีน ตลอดไปจนหมดตรุษจีนแล้ว ซึ่งราษฎรตามจังหวัดใกล้เคียงหลายจังหวัด ได้พากันมาเป็นจำนวนมากทุกๆ วัน....

.....การจะไปยังศาลนี้ เป็นความสะดวกทั้งทางบกและทางเรือ ในทางบกนั้นเมื่อลงรถไฟที่สถานีบ้านโป่งแล้วเดินผ่านตลาดไปยังริมแม่น้ำ และเดินต่อไปข้างใต้อีกไม่ช้าก็จะถึงท่าเรือจ้าง แล้วลงเรือข้ามฟาก ซึ่งมีประจำคอยรับผู้โดยสารอยู่เสมอ  ส่วนทางเรือนั้น ในลำน้ำแม่กลอง มีเรือเมล์คอยรับส่งคนโดยสารขึ้นล่องอยู่ตลอดลำน้ำ และทุกๆ วัน ฉนั้นเมื่อจะโดยสารจากที่ใดไปก็ได้เสมอ......"

พุทธรูป 5 องค์ ปางต่างๆ กัน
รัชกาลที่ 5 เสด็จฯ สักการะศาลถึง 2 ครั้ง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ก็ได้เคยเสด็จมาสักการะศาลเจ้าแม่เบิกไพรแห่งนี้ด้วยเช่นกัน โดยครั้งแรกปี พ.ศ.2420 พระองค์ได้เสด็จประพาสทางชลมารคผ่านแม่น้ำแม่กลองเมืองราชบุรี เพื่อเสด็จไปยังเมืองกาญจนบุรี  ในตอนขากลับพระองค์ ก็ได้ขึ้นไปสักการะที่ศาลเจ้านั้นด้วย ต่อมาครั้งที่ 2 เมื่อวันอาทิตย์ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 พ.ศ.2431 คราวเสด็จกลับจากประพาสไทรโยคเช่นกัน

นอกจากนั้นแล้ว ภายในศาลเจ้าแห่งนี้ก็ยังมีพระพุทธรูป 5 องค์ ปางต่างๆ กัน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่สมเด็จพระพี่นางในรัชกาลที่ 5 ได้ทรงนำมาประดิษฐานไว้ เมื่อคราวที่พระองค์เสด็จมาทอดกฐินที่อำเภอบ้านโป่งนี้ด้วย จึงถือว่าศาลเจ้าแม่เบิกไพรนี้มีความสำคัญ และเป็นที่เคารพบูชาของประชาชนโดยเสมอมา

การบูชาศาลเจ้าแม่ฯ สำหรับชาวเรือ
การบูชาเจ้าแม่เมื่อเดินเรือผ่านศาล คนเรือจะไหว้ด้วยมะพร้าว กล้วยน้ำว้าสุก และจุดประทัด จากนั้นจะวิดน้ำจากหน้าศาลเจ้าเข้าเรือ 3 ครั้งเพื่อเป็นน้ำมนต์

********************************************

ที่มาข้อมูลและภาพ
  • มโน กลีบทอง.(2544). พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ราชบุรี และจังหวัดราชบุรี. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สมาพันธ์. (หน้า 138-139)
  • ผู้จัดการออนไลน์. (2550). สืบสาน 3 วัฒนธรรม "111 ปีบ้านโป่ง".ห้องสมุดออนไลน์. [Online]. Available :https://news.myfirstinfo.com/viewnews.asp?newsID=1241560&keyword=. [2554 กุมภาพันธุ์ 11 ].
  • Phuketvegetarian.com. (2550). เจ้าแม่สวรรค์ เจ้าแม่ทับทิม. Available :http://www.phuketvegetarian.com/borad/data/2/0505-1.html. [2554 กุมภาพันธุ์ 11 ].
  • มณฑลราชบุรี. (2468). สมุดราชบุรี. พระนคร : โรงพิมพ์หนังสือพิมพ์ไทย. (หน้า 168-169)
  • ศรีวิชัย  ทรงสุวรรณ. (2547). ไทยจีน : 8 ชาติพันธุ์ในราชบุรี. ราชบุรี : ธรรมรักษ์การพิมพ์. (หน้า 40)
อ่านต่อ >>

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ศาลต้นโพธิ์ของชาวบ้านม่วง

ชุมชนบ้านม่วง ต.บ้านม่วง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี และหมู่บ้านใกล้เคียง  เป็นชุมชนมอญ จากการบอกเล่าเชื่อกันว่าบรรพบุรุษรุ่นแรกอพยพมาจากประเทศพม่าในสมัยอยุธยาราวรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศวร (พ.ศ.2133-2148) โดยติดตามพระมหาเถรคันฉ่อง ซึ่งเป็นพระสงฆ์เชื้อสายมอญนิกายมหายาน เข้ามาตั้งถิ่นฐานริมแม่น้ำแม่กลอง ให้ชื่อหมู่บ้านเหมือนบ้านเดิมในพม่าว่า "บ้านม่วง" และได้ตั้งวัดประจำหมู่บ้านว่า "วัดม่วง"

ชาวมอญบ้านม่วงนอกจากจะนับถือผีบรรพบุรษของแต่ละครอบครัวหรือตระกูลแล้ว ยังมีผีอื่นที่ชาวบ้านม่วงนับถือร่วมกัน คือ

1.ศาลต้นโพธิ์กลางทุ่งนา เป็นต้นโพธิ์เดิมที่ชาวบ้านม่วงนับถือมานานและจะร่วมทำพิธีเซ่นไหว้ในเดือน 6 ของทุกปี และปีใดฝนฟ้าไม่ค่อยตก ชาวบ้านม่วงจะทำพิธี "แคะขนมครก แห่นางแมวขอฝน" กันที่นี่

"..นางแมวเอ๋ย ขอฟ้าขอฝน ขอน้ำมนต์รดก้นนางแมว..น้ำแห้ง ให้ฝนตกหน่อย..." ชาวบ้านประมาณ 20-30 คนที่ร่วมขบวนแห่นางแมวจะร้องขอฝน ซึ่งสมัยก่อนที่จะมีเขื่อนวชิราลงกรณ์จะทำบ่อย ปัจจุบันไม่ค่อยมีประเพณีแห่นางแมวขอฝน นานๆ ครั้งและมิได้ทำการแคะขนมครกประกอบพิธีกันที่ศาลต้นโพธิ์กลางทุ่งนานี้อีกแล้ว เพราะต้นโพธิ์นี้ถูกตัดไปเมื่อ 10 ปีเศษ เนื่องจากเป็นจุดผ่านและตั้งเสาไฟฟ้าแรงสูง ชาวบ้านจึงย้ายไปไหว้ศาลต้นโพธิ์กลางหมู่บ้าน และไปแคะขนมครกกันที่วัดม่วงแทน

ศาลต้นโพธิ์กลางหมู่บ้าน
2.ศาลต้นโพธิ์กลางหมู่บ้าน ชาวบ้านเรียกว่า "เจ้าพ่อเจินและงิ่ม" หรือ "ศาลเจ้าพ่อช้างพัน" ที่ต้นโพธิ์กลางหมู่บ้านนี้มีเจ้าพ่อ 3 องค์ คือ เจ้าพ่อช้างพัน เจ้าพ่อกาหลง และเจ้าพ่อคลุกคลี (ชอบกินฝิ่น) ปัจจุบันมีการเซ่นไหว้ปีละ 2 หน คือ ในเดือน 4 และเดือน 6

ศาลต้นโพธิ์ในวัดม่วง ที่ชาวบ้านนับถือ
3.ศาลต้นโพธิ์ในวัด เรียกว่า "ศาลอาหน๊วก" หรือศาลหลวงตาหรือศาลหลวงปู่ ศาลนี้เมื่อมีงานและกิจกรรมใดๆ ในวัด จะต้องจุดธูปเทียนบอกกล่าวหรือขอนุญาตทุกครั้ง หรือบอกบนก็ได้


ที่มา : ข้อมูลและภาพ
สุภาภรณ์  จินดามณีโรจน์. (2536). ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นลุ่มน้ำแม่กลอง : ศึกษากรณีชุมชนมอญบ้านม่วง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี. ลุ่มน้ำแม่กลอง : พัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรม.  มหาวิทยาลัยศิลปากร : พิฆเณศ พริ้นท์ติ้ง เซ็นเตอร์. (หน้า 93-98)
อ่านต่อ >>

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ดูลิเกไปวัดคงคา ได้วิชาไปวัดป่า(ไผ่) ฟังเทศน์ไปวัดบ้านหม้อ

ผมได้ไปอ่านบทความของ กุศล เอี่ยมอรุณ เรื่องเงาชีวิตในภาพเขียน ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือราชบุรี เกี่ยวกับวัดไทรอารีรักษ์  เมื่อ พ.ศ.2541 มีอยู่ตอนหนึ่งได้เขียนเกี่ยวกับคำขวัญที่ว่า "..ถ้าดูลิเกให้ไปวัดคงคา ได้วิชาไปวัดป่า(ไผ่) ฟังเทศน์ไปวัดบ้านหม้อ.." เห็นว่าเป็นเรื่องราวที่น่านำมาบันทึกไว้ให้ทราบกัน แต่ภาพประกอบค่อนข้างหายากมาก ค้นหาในอินเตอร์เน็ตก็ไม่ค่อยมี คงต่อรอไปถ่ายเองแล้วนำมาโพสต์ภายหลัง ลองอ่านดูนะครับ

"....คนมอญถือว่า งานตายเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะศพพระศพเจ้า..."


วัดไทรอารีรักษ์ ตั้งอยู่ริมฝั่งน้ำแม่กลอง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี เป็นวัดของศูนย์กลางชาวมอญอีกวัดหนึ่ง วัดนี้มีภาพเขียนที่หอระฆังบริเวณกุฏิเจ้าอาวาส ภาพบางส่วนลบเลือนมาก ส่วนที่พระอุโบสถมีภาพที่ผนังด้านในทั้งสี่ด้าน กับที่มุขสกัดด้านนอกริมแม่น้ำแม่กลอง เขียนเป็นเรื่องอดีตพระพุทธเจ้า พุทธประวัติ และพระอริยสงฆ์ ในรายละเอียดของภาพสะท้อนให้เห็นชีวิตสังคม วัฒนธรรม ของกลุ่มชนชาวมอญในอดีต ที่ผนังด้านในตรงข้ามกับพระประธานมีอักษรมอญจารึกถอดความได้ว่า อุปฎฐากกลอง (นามสกุล วารีชล) เป็นผู้จ้างช่างมาเขียนภาพเมื่อ ศก 1126 หรือประมาณ พ.ศ.2450 ซึ่งอยู่ในรัชกาลพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ภาพนี้เป็นภาพตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน มีการอัญเชิญพระบรมศพใส่พระโกศเพื่ออัญเชิญขึ้นพระเมรุมาศ ช่างเขียนมิได้วาดภาพเป็นโกศทรงสูงอย่างที่ใช้ในพระบรมศพกษัตริย์หรือเจ้านายดังที่เคยเขียนกัน แต่กลับเขียนเป็นโลงศพอย่างมอญที่เรียกว่า "ลุ้ง" ซึ่งใช้บรรจุศพพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่ เช่น เจ้าอาวาส ที่ศาลาเก้าห้องของวัดคงคารามก็ยังมี "ลุ้ง" เก็บรักษาอยู่ พระภิกษุที่เก็บรักษาบอกว่าเคยใช้ในงานศพเจ้าอาวาสวัดมอญแถบลุ่มน้ำแม่กลองในสมัยก่อน

คุณตาจวน เครือวิชฌยาจารย์ เล่าเกี่ยวกับเรื่องงานตายของชาวมอญว่า "โลงที่นิยมใส่ศพพระ ก็คือโลงที่มีลักษณะสอบล่างผายบน คนมอญระดับชาวบ้านเรียกว่า "โลงยอดดอกผักบุ้ง" ที่เราเห็นที่เมืองปทุมธานีนั้น เป็นดอกบานข้างบนนั้น ทำเป็นยอกปราสาทอย่างเจดีย์ชเวดากอง สนนราคาใบหนึ่งเกือบ 4 หมื่นบาท โลงอย่างนี้ใช้แต่เฉพาะพระเท่านั้น ที่ชาวบ้านชาวมอญทั่วไปเขาไม่ใช้ เพราะเกรงว่าจะเป็นการแข่งบารมีกับพระ เขาจึงไม่ทำกัน ใครทำเขาก็เรียกว่า โลกวัชชะ คือ โลกจะติเตียน บัญญัติห้ามไว้นั้นไม่มี แต่ปากจากสังคมมนุษย์ห้ามไว้นี่สิเรื่องใหญ่"

"คนมอญถือว่าเรื่องตายเป็นเรื่องสำคัญ โดนเฉพาะศพพระศพเจ้าถือว่าเป็นเรื่องพิเศษกว่าศพชาวบ้านทั่วไป พระผู้ใหญ่มีลูกศิษย์ลูกหามาก ลูกศิษย์ก็อยากที่จะจัดงานศพหลวงพ่อที่ตนเองเคารพนับถือนั้นให้ยิ่งใหญ่ที่สุด หรือถ้าเพื่อนบ้านเสียชีวิตก็ต้องบอกต่อกันไป เพื่อร่วมพิจารณาว่าศพนี้ตายอย่างไร ตายดี คือ เจ็บไข้ได้ป่วย ตายตามอายุขัย..แก่ชราตาย หรือ ตายไม่ดี อย่างเป็นมะเร็งเน่าเฟะ ตายโหง เช่น ถูกยิงตาย ตกน้ำตาย กินยาตาย ผูกคอตาย หรือเกิดอุบัติเหตุต่างๆ พวกนี้คนมอญเราถือจริงๆ จะไม่ทิ้งไว้ข้ามคืน ต้องรับทำโลงไปฝังเก็บก่อน หรือไม่ก็เก็บเข้าโกดังยังไม่เผาไม่ทำบุญอะไรทั้งนั้น อย่างมากแค่นิมนต์พระสี่รูปไปสวด บางศพนั้นก็เก็บไว้ประมาณหนึ่งเดือนจึงทำบุญ ถ้ารอให้ครบปีได้ถือว่าเป็นเรื่องบริบูรณ์ จะสวดอย่างไร มีมหรสพอย่างไรก็ดี เสนียดจัญไรจะไม่พัวพันกับวงศ์ตระกูล  ถ้าไม่ทำเช่นนั้น การตายลักษณะนี้จะวนเวียนเข้ามาหาคนในครอบครัวอีก ในคัมภีร์มอญ บอกไว้เลยว่า ถ้าไม่ทำแบบนี้จะได้รับความเสียหายเจ็ดชั้นหรือเจ็ดชั่วโคตร"

..ถ้าดูลิเกให้ไปวัดคงคา ได้วิชาไปวัดป่า (ไผ่) ฟังเทศน์ไปวัดบ้านหม้อ...

ภาพเขียนนี้ เป็นภาพหลังจากที่องค์พระสัมสัมพุทธเจ้าเสด็จสู่ปรินิพพานแล้ว มีการตั้งเมรุมาศถวายพระเพลิงและมีมหรสพฉลองพระเมรุมาศ เมื่อหลายสิบปีก่อนนี้ ครั้งหนึ่งที่วัดม่วง (บน) ริมฝั่งแม่น้ำแม่กลอง เคยมีงานเมรุศพหลวงพ่อเข็มหรือหลวงปู่เข็ม

หลวงปู่เข็มมีชีวิตอยู่ช่วงรัชกาลที่ 5-7 ท่านเป็นพระวิปัสสนาที่มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ รัชกาลที่ 6 พระราชทานนามว่า พระครูไชยคีรีศรีสวัสดิ์ ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดม่วง (บน) อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี กระทั่งท่านมรณภาพเมื่อวันที่ 3 กันยายน พ.ศ.2476 ว่ากันว่า ใครมีเหรียญหลวงปู่ตอนนี้ ให้เช่ากัน 2-3 แสนบาท

เมื่อสมัยคุณตาจวน เครือวิชฌยาจารย์ เป็นเด็ก ได้เคยเห็นงานฉลองเมรุของหลวงปู่เข็ม ซึ่งจัดขึ้นที่วัดม่วง (บน) "ตอนงานศพหลวงพ่อนั้น เขาเตรียมงานกันถึงปีกว่า ทำกันเป็นเมรุสูงใหญ่ ซึ่งในสมัยก่อนนั้น บริเวณที่จะก่อสร้างเมรุมีต้นยางนาขึ้นเป็นดง ต้องตัดต้นยางออก ลักษณะสัดส่วนของเมรุนั้น ผมว่าพอๆ กับเมรุอย่างที่สนามหลวง แต่ไม่สวยวิจิตรพิสดารเท่า เวลาเผาก็เผาเสร็จกันในวันนั้น ตอนนั้นผมจำได้ว่า โรงเรียนที่ลูกหลานชาวบ้านม่วงเรียนกันนั้น เป็นเงินทองที่เหลือจากชาวบ้านมาทำบุญกันในคราวนั้น อาคารหลังเดิมของโรงเรียนพังไปแล้ว ที่เห็นอยู่นี้เป็นอาคารหลังใหม่"

"ตอนนั้นผมอายุประมาณแปดเก้าขวบ ฟังจากผู้ใหญ่เล่ากันว่า บรรดาลูกศิษย์ลูกหาตกลงกันว่า ถ้ามีลูกศิษย์ลูกหาเป็นเจ้าภาพสวดก็สามารถไว้ต่อไปได้เรื่อย เมื่อต้องตั้งสวดนานาอย่างนี้ เป็นผลให้มีเวลาเตรียมงานเมรุ งานฉลองศพหลวงพ่อมากขึ้น แต่ละบ้านแต่ละวัดก็แบ่งหน้าที่จัดการกันไปตามถนัด บ้านนี้วัดนั้นรับผิดชอบโรงครัว โรงทาน ใครจะมากินกาแฟน้ำร้อนมีคนจัดการหมด อย่างเช่น วัดคงคาฯ ช่วยแกงมัสมั่น วัดตาลทำแกงส้ม วัดใหญ่นครชุมน์ทำขนมหม้อแกง วัดเขาช่องพรานรับทำสังขยา เป็นต้น งานหลวงพ่อเข็มเดิมกะว่าสามวัน ก็ยืดออกไปถึง 11 วัน"

คำกล่าวที่ว่า "ถ้าอยากดูลิเกให้ไปวัดคงคา อยากได้วิชาไปวัดป่า(ไผ่) อยากฟังเทศน์ไปวัดบ้านหม้อ" นั้น หมายถึงเมื่อก่อนนั้น พระที่วัดป่าไผ่ ได้ชื่อว่าเป็นพระเก่งพระธรรมไตรปิฏก อย่างพระมหาเป้อ พระจากวัดต่างๆ บริเวณนี้ต่างเป็นลูกศิษย์ลูกหาท่านทั้งสิ้น มหาศรเป็นอาจารย์ของผมเมื่อครั้งที่ีผมบวชเรียน ก็เป็นลูกศิษย์ท่าน เมื่อพระที่วัดนี้เก่ง พระจากวัดต่างๆ จึงต้องพากันมาร่ำเรียนที่นี่ เช่น วัดบ้านหม้อ วัดใหญ่นครชุมน์ วัดโพธิ์ วัดม่วง(บน) เป็นต้น วัดป่าไผ่ดังมากจนได้ชื่อว่า "วัดเล็กแต่พระดัง" รองลงไปคือวัดบ้านหม้อ เมื่อผมยังเป็นเด็ก รอบวัดป่าไผ่นั้นถือว่ามีแต่คนเก่ง เป็นนักธรรมรู้เรื่องศาสนามากกันทีเดียว ผิดกับที่วัดคงคาฯ มีลิเกบ่อย เพราะสมัยก่อนวัดคงคาฯ มีพระผู้ใหญ่เป็นพระอุปัชฌาย์หลายรูป เมื่อมรณภาพก็มีงานฉลองเมรุ ส่วนหลวงปู่เข็ม ท่านเป็นอุปัชฌาย์วัดม่วง (บน) ท่านจึงยิ่งใหญ่สำหรับชาวบ้านร้านถิ่นแถบนี้ ผู้คนเลยมาร่วมงานมากมาย"

"หนังกลางแปลงตอนนั้นเป็นหนังญี่ปุ่นขาวดำ ไม่มีเสียงพากย์เสียงพูดอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน มีแต่เสียงแตรวงประกอบ เล่นกันสดๆ เป็นครั้งแรกที่มีหนังมาฉายบ้านเราเป็นมหรสพที่เสียค่าใช้จ่ายมากที่สุด คือ คืนหนึ่งประมาณ 30 บาท ตอนนั้นเงินเดือนข้าราชการยศร้อยเอกประมาณ 25 บาท นายอำเภอ 60 บาทเท่านั้น"

"ลูกศิษย์ลูกหาแต่ละวัดนั้นก็พยายามหามหรสพมาร่วมงาน วัดขนอนเอาหนังใหญ่มา วัดนั้นเอาละครมา วัดนี้หาหนังมาฉาย บางวัดก็หาหนังตะลุงมา ในราชบุรีมีหนะงตะลุงด้วย เขาเล่นประมาณสองยาม ตีหนึ่ง ตื่นขึ้นมายังเห็นไอ้แก้วไอ้เปีย (ตัวละคร) ทะเลาะกันอยู่อย่างนั้น เด็กอย่างพวกเราจะพูดติดปากกันเลยว่า ดูหนังใหญ่ต้องวัดขนอน ตอนนั้นไม่มีไฟฟ้า ต้องระดมชาวบ้านช่วยกันหากะลามาสุมไฟกองพะเนินเลย คนดูก็ดูกันไป ที่หลับก็หลับกันไป ระหว่างนี้มีการตุดดอกไม้เพลิงต่างๆ วัดไหนมีฝีมือทำอะไรได้ ก็ขันอาสาทำกันมาจุดฉลองเล่น วัดใหญ่นครชุมน์เขาเก่งไฟเพนียงก็ทำมา ไฟผึ้งนั้นผมจำไม่ได้วัดอะไรทำมา มีไม้สานเป็นรังผึ้งทำแขวนอยู่บนต้นไม้ และที่ต้นไม้เขาประดิษฐ์เป็นคนกะเหรี่ยงเกาะอยู่ นัยว่าเป็นกระเหรียงกำลังตีผึ้ง เวลาจุดแสดงก็จะแตกระเบิดเป็นลูกไฟเหมือนผึ้งบินออกจากรัง รูปกะเหรี่ยงนั้นก็จะแกว่งไปมาเหมือนกะเหรี่ยงตีผึ้งโหนต้นไม้เป็นที่สนุกสนานกัน มีบางวัดทำอ้ายตื้อวิ่งไล่คนดูหนีกันอลหม่าน ส่วนเรื่องกายกรรมนั้นผมไม่ทันเห็น มหรสพมีตั้งแต่คืนแรกที่ตั้งศพจนกระทั่งวันสุดท้าย เมื่อเผาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นำธาตุของหลวงพ่อมาตั้ง เรียกว่าสุมธาตุ"

..วันพรุ่งนี้อาจไม่เหลือแม้เงา...

ก่อนจบขอปิดท้ายด้วยภาพเขียนบนไม้คอสองที่หัวเสาศาลาดินวัดไทรอารีรักษ์ บริเวณตลาดโพธาราม ปัจจุบันศาลาดินหลังนี้ถูกรื้อทิ้งไปแล้ว เพื่อสร้างตึกคอนกรีตขึ้นแทนที่ ไม้คอสองกว่า 10 แผ่น จึงถูกปลดลงวางทิ้งขวางไร้คนเหลียวแลอยู่ในบริเวณวัด จนกระทั่งพระวสันต์ ซึ่งมาบวชจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้ไปเห็นเข้า รู้สึกเสียดายในคุณค่างานศิลปกรรมของภาพเขียนที่ปรากฏบนแผ่นกระดานนั้น จึงนำมาทำความสะอาดปัดฝุ่นดินที่ติดเกรอะกรัง พร้อมเอาพลาสติกห่อหุ้มแต่ละแผ่นภาพไว้เพื่อป้องกันการขีดข่วนและสีกระเทาะหลุดออก ทว่าความหวังดีของท่าน กลับทำให้ภาพเขียนแต่ละแผ่นเกิดความชื้น มีไอน้ำเชื้อราจับจนตัวภาพบางส่วนลบเลือนไป นับเป็นการสูญเสียสมบัติโบราณวัตถุสำคัญอีกชิ้นหนึ่งของชุมชนลุ่มน้ำแม่กลอง..

ภาพเขียนทั้งสามนี้ ดำเนินเรื่องพระโพธิสัตว์เมื่อครั้งเวยพระชาติเป็นพระมโหสถ บำเพ็ญปัญญาบารมี ในภาพแสดงถึงหมู่เรือนอาศัยของพระมโหสถ ซึ่งเป็นลูกเศรษฐีในเมืองมิถิลา ครั้งหนึ่งได้สร้างศาลาให้เพื่อนๆ เล่นโดยไม่ต้องหนีฝน และในศาลานั้นยังสร้างห้องวินิจฉัยคดีความให้ชาวบ้านที่พากันมาขอให้พระมโหสถตัดสิน กิตติศัพท์ความรอบรู้เฉลียวฉลาดของพระมโหสถเป็นที่ร่ำลือล่วงรู้ไปถึงพระเจ้าวิเทหะราช กษัตริย์แห่งมิถิลานคร จึงเบิกตัวพระมโหสถเข้าเฝ้าและในที่สุดก็ได้รับตัวมาเป็นราชบุตรของพระองค์

ภาพเขียนดังกล่าวสันนิษฐานว่าเขียนขึ้นประมาณรัชกาลพระบามสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องด้วยธงบนยอดเสาในภาพปรากฏวาดเหมือน "ธงจอมเกล้า" อันเป็นตราประจำรัชกาลของพระองค์ แม้ในภาพจะเขียนรายละเอียดไม่ชัดเจนนัก แต่พอจับเค้าได้ว่าเป็นรูปพระมหามงกุฎ ขนาบข้างด้วยฉัตรทั้งซ้ายและขวา ผิดกันก็แต่สีเท่านั้น คือ ธงของพระองค์นั้นนอกจากจะมีพระราชลัญจกรดังกล่าวกลางผืนธงแล้ว สีพื้นธงก็เป็นสีน้ำเงิน มีขอบเป็นสีแดง

นอกจากนี้ยังมีจุดสังเกตุที่หอนาฬิกา ซึ่งตัวหอที่อยู่ใกล้กันนั้นน่าจะเป็นหอกลอง ด้วยหอทั้งสองสร้างขึ้นในรัชกาลที่ 4 อีกทั้งรูปแบบสถาปัตยกรรมที่เป็นอาคารตึกฝรั้งอย่างตะวันตก ถ้าสังเกตุให้ดีจะมีตัวอักษรคล้านภาษาอังกฤษปรากฏบนหน้าบัน ซึ่งช่างยุคนั้นพยายามเขียนเลียนแบบตัวหนังสือของฝรั่ง ลักษณะการเขียนภาพเช่นนี้มักพบในจิตรกรรมตามวัดต่างๆ ที่เขียนขึ้นในยุคสมัยเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม แม้ความพยายามในการเก็บรักษาภาพของพระวสันต์จะกลายเป็นการทำลายภาพเขียนให้เสียหาย แต่ความตั้งใจที่มุ่งรักษามรดกแห่งภูมิปัญญาของคนลุ่มน้ำแม่กลอง ก็เป็นสิ่งอันควรสรรเสริญ ด้วยการกระทำเช่นนี้ บางครั้งอาจต้องเผชิญกับความไม่พึงพอใจของผู้อื่น โดยเฉพาะกลุ่มคนที่คอยจ้องขโมยโบราณวัตถุไปจากวัด 

ปัจจุบันทางวัดซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นวัดเก่าแก่ของชุมชน แต่ก็เหลือเพียงชื่อตำนานให้เล่าขาน ด้วยไม่มีประจักษ์พยานของโบราณวัตถุสถานใดๆ ให้เห็นร่องรอยของวิถีวัฒนธรรมที่บ่งบอกชีวิตชุมชนรอบวัดอีกต่อไป ชะตากรรมเช่นนี้ไม่เพียงเกิดขึ้นกับวัดไทรอารีรักษ์เท่านั้น หากแต่อีกหลายวัดแถบลุ่มน้ำแม่กลองก็กำลังประสบสภาพดังกล่าวเช่นกัน

แล้ววันพรุ่งนี้อาจไม่เหลือแม้เงา...

ที่มา :
กุศล เอี่ยมอรุณ. (2541). เงาชีวิตในภาพเขียน : วัดไทรอารีรักษ์. ราชบุรี. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สารคดี. (หน้า 365-371)


ข้อมูลเพิ่มเติม
ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดคงคาราม

ภาพถ่ายวัดบ้านหม้อ
อ่านต่อ >>