แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อาหาร แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อาหาร แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สืบสานตำนานข้าวแช่มอญ วัดบ้านหม้อ

ตำนานข้าวแช่ 
 แรงบันดาลใจที่ทำให้ข้าพเจ้า เขียนเรื่อง ข้าวแช่ ขึ้นมาในช่วงเวลานี้ ก็เพียงอยากระลึกถึงวัน เวลา...ที่เคยได้ร่วมทำข้าวแช่ กับแม่...เมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่ ภาพความทรงจำทุกขณะ ปรากฎเด่นชัด  และเมื่องานบุญเข้าพรรษาที่ผ่านมา...ท่านพระครูที่วัดยังถามมาว่า ..สงกรานต์ปีหน้าจะมีข้าวแช่ออกมาวัดคนแรกอีกหรือเปล่า เพราะแม่จะนำข้าวแช่ใส่กระจาดหาบ ไปถึงวัดก่อนอรุณรุ่งทุกปี ทำให้ข้าพเจ้าอยากจะส่งความรู้สึกนี้ ไปถึงอีกหลาย ๆคน ที่จะช่วยกันบอกเล่าเรื่องราวของข้าวแช่ตำรับมอญของบ้านเรา และพาตัวเองกลับไปสู่บรรยากาศ  ที่อบอุ่นนั้นอีกสักครั้ง  
การทำกับข้าวในแต่ละท้อง ถิ่น แต่ละชุมชนก็แตกต่างกันออกไป  ตามสภาพความเป็นอยู่  แต่ก็ยังคงมีกรอบวัฒนธรรมเคร่งครัดในประเพณี  ที่ติดมากับขนบธรรมเนียมของชาวมอญเรา ที่ยึดถือและปฎิบัติสืบต่อกันมาโดยเฉพาะการทำบุญ  ดังมีคำกล่าวที่ว่า.....หน้าร้อน...กินข้าวแช่    หน้าฝน....กินข้าวมัน    หน้าหนาว......กินข้าวหลาม และทุกวันนี้ ก็ยังคงสืบทอดกันต่อมา รุ่นต่อรุ่น

 ข้าพเจ้าต้องขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่า สิ่งที่ได้เขียนเรื่องราวเหล่านี้ อาจจะไม่เหมือน หรือแตกต่างกันไป  ผู้รู้ทุกท่านช่วยชี้แนะ ก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
จำได้ว่าสำหรับชาวมอญแล้ว เทศกาลสงกรานต์ เป็นเทศกาลที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะถื่อว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามโบราณ และยังถือสืบต่อกันมา การเตรียมงานนับเดือน ทำความสะอาดบ้านเรือน เตรียมเสื้อผ้าใหม่ และอาหารคาวหวานสำหรับทำบุญตักบาตร ซึ่งก็จะอยู่ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๗ เมษายน ของทุกปี ช่วงเช้าทำบุญตักบาตร  ไหว้พระสวดมนต์ สมาทานศีล ช่วงบ่ายจัดให้มีการสรงน้ำพระพุทธรูป  สรงน้ำพระสงฆ์ และบังสุกุลอัฐฐิปู่ย่าตายาย ปล่อยนก ปล่อยปลา ค้ำโพธิ์ (ถ้าวันสงกรานต์ตรงกับวันเกิดของใคร ต้องไปค้ำโพธิ์) ก็จะเป็นสิริมงคลกับตังเอง เช่นวันสงกรานต์ตรงกับวันพุธ ที่เกิดวันพุธต้องไปทำพิธีเอาไม้ไปค้ำต้นโพธิ์  เป็นต้น
อาหารมอญ  ที่นิยมทำกันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ขนมกะละแม  ทดสอบความอดทน  (บอกก่อนว่า หนุ่มสาว จะรอวันสงกรานต์อย่างใจจดใจจ่อ เพราะหนุ่มสาวจะมีโอกาสใกล้ชิดกันได้ เล่นถูกเนื้อต้องตัวกันได้ ไปมาหาสู่กัน บางบ้านก็ให้หนุ่มช่วยกวนกะละแมเสียเลย ใช้เวลาเป็นวัน ๆ

ข้าวแช่ หรือ ข้าวสงกรานต์ คนมอญจะเรียกว่า  เปิงด้าจก์ (เปิง แปลว่า ข้าว  ด้าจก์ แปลว่า น้ำ   เมื่อตอนเด็ก ๆ จะได้ยินแต่คำว่า ข้าวน้ำ  จะได้ลองลิ้มชิมรสก็ต่อเมื่อวันสงกรานต์เท่านั้น
ข้าวแช่ เป็นอาหารที่เกี่นวข้องกับพิธีกรรม มีขั้นตอนในการทำพิถีพิถันมาก ใช้เวลาในการจัดเตรียมเป็นเดือน ทั้งน้ำที่จะเป็นน้ำอบ ต้องรอจากฝนกลางแจ้งมาเก็บไว้ (สมัยนี้ใช้น้ำต้มสุกก็ได้) ต้องตำรำข้าวใหม่ ๆ ขี้ผึ้งที่ได้มาจากน้ำผึ้งเดือน    ๕  นำมาเผาบนรำข้าวให้หอม ไว้อบน้ำ (สมัยนี้ใช้เทียนหอมสำเร็จรูป)ปลาแห้ง ต้องเป็นปลาช่อนนา ตัวโต ตากแดดเก็บไว้ เหล่านี้เป็นต้น
การทำข้าวแช่ สืบเนื่องมาจากตำนานสงกรานต์ของมอญ  ข้าพเจ้าเคยได้เห็นตำนานนี้ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม  เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๑ พี่พาไปเที่ยววัดพระแก้ว ก็เลยไปวัดนี้ด้วย  พี่พูดภาษามอญได้ อ่านภาษามอญได้ ก็รู้ว่าเป็นตำนานของ ข้าวแช่  ความว่า
มีเศรษฐีผู้หนึ่งไม่มีบุตรธิดา ทำการบวงสรวงต่อเทวดา ฟ้าดิน พระอาทิตย์ พระจันทร์ กาลเวลาล่วงเลยไป ๓ ปี ก็ยังไม่มีบุตร อยู่ต่อมาเป็นวันในคิมหันตฤดูฝน คนทั้งหลายเล่นนักขัตฤกษ์ต้นปีใหม่ พระอาทิตย์ก็มาสู่เมษราศี   เป็นวันมหาสงกรานต์ เศรษฐีได้พาบริวารไปยังโคนต้นไทรใหญ่ริมน้ำอันเป็นที่อยู่ของรุกขเทวดาทั้งหลาย และได้นำข้าวสารล้างน้ำถึง ๗ ครั้ง แล้วหุงบูชารุกเทวดาประจำพระไทรนั้น
 ตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร   และรุกขเทวดาพระไทรนั้นก็เมตตา ให้เทพบุต รคื่อ(ธรรมบาลกุมาร)มาเกิดเป็นบุตรของเศรษฐีสมความปรารถนา

ครั้นต่อมา ชาวมอญมีความเชื่อว่า หากได้กระทำพิธีเช่นว่านี้ บูชาต่อเทวดา ในเทศกาลสงกรานต์แล้ว
สามารถตั้งจิตอธิษฐาน ขอสิ่งใดจะได้ดังหวัง  ข้าวแช่จึงเป็นส่วนหนึ่งของการเซ่นไหว้เทวดาด้วย

วิธีการปรุงข้าวแช่   เริ่มจากการทำน้ำอบ  จะใช้น้ำฝน หรือใช้น้ำต้มสุกก็ได้ ใส่ลงในหม้อดิน สำหรับบ้านของข้าพเจ้า มีหม้อดินโบราณ เป็นมรดกตกทอดสมัยปู่ย่ามา นำขันเล็ก ๆแล้วใส่รำข้าวที่เตรียมไว้ จุดขี้ผึ้งที่ปั้นใส่ด้ายแบบไส้เทียนจุดให้ไฟลุก ดอกกระดังงาลนไฟให้หอม นำมาใส่ลงไปในขันด้วย แล้วดับไฟ ปิดฝาหม้อด้วยผ้าขาวบาง อบไว้เช่นนั้น  (ลืมบอกไปว่า น้ำที่นำมาอบนั้น ให้ลอยดอกมะลิให้หอมก่อน ก่อนนำมาอบเทียน) พอมาถึงสมัยนี้ ใช้เที่ยนหอมอบได้เลย


หม้อดินสำหรับใช้อบน้ำข้าวแช่มอญ      
อาหารที่นำมารับประทาน ที่แม่เคยทำเป็นประจำทุกปี ก็จะมีประมาณ ๗-๘ อย่าง บางชุมชนก็จะมากน้อยแตกต่างกันออกไป จะใช้เวลาเตรียมอาหารข้าวแช่ก่อนวันสงกรานต์ ๑ วัน คือบ่ายวันที่ ๑๒  จะมีปลาแห้งป่น หมูหวาน (บางนจะใช้เนื้อวัว ) หอยแมลงภู่ผัดหวานผักกาดผัดไข่ (หัวไชโป้) ยำมะม่วง ยำขนุน กระเทียมดอง ก๋วยเตี๋ยวผัด ไข่เค็ม


การหุงข้าว  เริ่มตั้งแต่คัดข้าวสารเมล็ดสวย จำได้ว่า เมื่อก่อนนี้ สีข้าวเอง ตำข้าวเอง โดยใช้ครกไม้ ที่ใช้ตนไม้ทั้งต้นมา ขุดเป็นครก สีข้าวเป็นสีโบราณที่พ่อทำขึ้นเอง เสียดายที่พังไปหมดแล้ว  สีข้าวเปลือกแล้ว จะได้ข้าวกล้อง ก็นำข้าวกล้องมาตำ ใช้สากลุมพุก (ไม่ทราบว่าเรียกถูกหรือเปล่า) ตำ ๒ คนผลัดกันขึ้นลง นับไปเลย ลงสากคนละ ๒๐๐ ที ข้าวก็จะขาวเป็นข้าวสารที่นำมาหุงได้ แม่ก็จะเลือกข้าวเม็ดสวย ไม่หัก จะใช้กระด้งฝัดเอารำออก จะได้รำละเอียด (ไปอบน้ำ) รำหยาบไว้เลี้ยงหมู เลี้ยงเป็ด ได้ปลายข้าวไว้ทำขนมจีน แม่จะให้ใช้กระด้ง กระทายข้าว การกระทาย เป็นการคัดเลือกข้าวเม็ดสวยออกจากข้าวที่หัก  จากนั้นก็นำมาซาวน้ำ ประมาณ ๗ ครั้ง ให้สะอาด ในการหุงข้าวนั้นต้องตั้งเตาไฟในที่โล่ง และต้องอยู่นอกชายคาบ้าน การหุงเป็นการหุงแบบเช็ดน้ำ ต้องหมั่นคอยคนให้สุก ไม่เป็นไต ยกลงจากเตา นำไปล้างน้ำสะอาดหลายครั้ง  เพื่อเอายางข้าวออกแล้วนำไปใส่ในกระบุง โดยเอาผ้าขาวบางรองอีกที เป็นอันเสร็จขั้นตอนการหุงข้าว  (บางที่แม่ก็จะใส่ใบเตยลงไปในหม้อข้าวด้วย เพื่อความหอม)

ขั้นตอนการทำกับข้าว  อันดับแรกปลาแห้งป่น บอกเลยว่าทำยากที่สุด  ต้องนำปลาที่ตากแห้งไว้มาย่างไฟอ่อน ๆ พอสุก แล้วเอามาแกะเอาแต่เนื้อ แม่ใช้ครกตำเลย ให้เนื้อปลาฟู
หัวกะทิตั้งไฟให้เดือด ต้องหมั่นคนไม่ให้แตกมัน ตำกระเทียมที่แกะเอาแต่เนื้อ พริกไทยเล็กน้อย บางบ้านก็ไม่ใส่พริกไทย  ก็แล้วแต่ความชอบ  แต่บ้านเราใส่ด้วย เพราะเราเป็นคนตำเองแม่บอกว่าดับกลิ่นคาวปลา  นำส่วนประกอบทั้งหมดลงผัดในกระทะ โดยใช้ไฟอ่อน   ผัดไปเรื่อย ๆจนเนื้อปลาจับกับกะทิ ก็ใส้น้ำตาบปี้บ ชิมรสหวานนำ เค็มตามมา ความเค็มไม่ต้องใส่เกลือก็ได้ เพราะปลามีความเค็มในตัวอยู่แล้ว เมื่อได้รสชาดตามต้องการ  นำลงจากเตาพักไว้
ให้เย็น โรยหน้าด้วยใบมะกรูดหั่นฝอย ตามด้วยพริกแห้ง (พริกเม็ดใหญ่ตากแห้ง เอาเม็ดออกซอยละเอียด ไว้โรยหน้ากับข้าว เพิ่มสีสรรความสวย  ก็เป็นอันเสร็จไป ๑ อย่างแล้ว ใช้เวลาประมาณครึ่งวัน
  ๒.เนื้อเค็ม (หมูหวาน) บางท้องถิ่นใช้เนื้อวัว แต่บ้านเราที่วัดบ้านหม้อนี้ ใช้เนื้อหมู วิธีทำก็คล้าย ๆกับปลา คือเอาเนื้อหมูมาทำหมูเค็ม ตากแดดเก็บไว้ก่อน จากนั้น เอามาย่างไฟพอสุก
ฉีกฝอย ที่บ้านเราก็ใช่ครกตำเช่นเดิม เนื้อจะฟูไม่แข็ง  วิธีการทำก็เหมือนกับปลาทุกอย่าง

 ๓.หอยแมลงภู่ เช่นกัน ก็นำหอยแมลงภู่ตากแห้ง เลือกที่ตัวใหญ่ เพราะเวลาผัดแล้วจะหด นำมาล้างให้สะอาด เอาใยออกให้หมด มาลวกน้ำร้อนดับกลิ่นคาวเสียก่อน บีบน้ำให้แห้ง การผัดก็เหมือนกับปลาและหมู  ข้อระวังในการผัดหอย ต้องค่อย ๆผัด หรือกลับ ถ้าผัดแรง หอยจะแหลกไม่เป็นตัว ไม่สวยในการจัดสำรับอาหาร
๔.หัวไชโป้ผัดไข่  คราวนี้ไม่ใช้กระเทียม ใช้หอมแดงแทน เวลาปอก ก็ร้องไห้ไปด้วย แม่บอกว่าถ้าออกเรือนไปจะแพ้แม่สามี  วิธีแก้ให้ใช้ก้านไม้ขีดเหน็บหู น้ำตาจะไม่ไหล  หัวไชโป้ก็ที่เจ็ดเสมียนเท่านั้น เลือกเอาหัวใหญ่ มาหั่นซอยตามแนวขวางบาง ๆ แล้วล้างน้ำให้สะอาด
ตั้งหัวกะทิให้เดือดใส่หอมแดงซอยลงไป ใส่หัวไชโป้ลงในหม้อ เคี่ยวไฟอ่อนไปเรื่อย ๆจนกะทิ
จวนแห้งใส่น้ำตาลลงไป หวานนำกลมกล่อม โรยหอมแดงอีกครั้ง   เกือบลืมต้องใส่ไข่ด้วย โดยตอกไข่ตีให้ละเอียดราดลงบนหัวไชโป้ในหม้อ รอไข่สุก คนให้เข้ากัน เป็นอันใช้ได้
๕.ยำขนุน รายการนี้จะขาดไม่ได้เลย ในสำรับข้าวแช่ของชาวเรา เพราะถือกันว่าเป็นอาหารมงคล คงเป็นเพราะชื่อด้วยกระมัง  มีคนหนุนนำ จำได้ว่าแม่ให้เอาพริกหอมเม็ดใหญ่  (พริกแห้ง) หอม กระเทียม เผาไฟ เรียกว่าพริกเผา หอมเผา  แล้วนำขนุนดิบที่ไม่แก่ มาฝานเป็นแว่น
ปอกเปลือกออก นำไปต้มให้สุก แล้วนำมาฉีก พักไว้ก่อน เอามะพร้าวที่ขูดเตรียมไว้ มาคั่วให้หอม ระวังอย่าให้ไหม้  ส้มโอที่แกะเอาไว้ พร้อมทั้งกุ้งแห้งคั่วสุก เครื่องปรุงพร้อมแล้ว ก็ลงมือยำเลย เอาพริกเผา หอมเผา มาโขลกพอหยาบ ใส่ในขนุนที่เตรียมไว้คลุกเคล้าให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำปลาดี น้ำตาลเคี่ยวเติมความเปรี้ยวด้วยส้มโอ กลมกล่อมแล้ว ใส่มะพร้าวคั่ว กุ้งแห้ง
เพียงเท่านี้ ยำขนุนก็ขึ้นสำรับได้แล้ว
๖.ยำมะม่วง วิธีทำก็คล้ายกัน ถ้ามะม่วงเปรี้ยวก็บีบ หรือใช้เกลือคั้นเอาความเปรี้ยวออกก่อน
๗.กระเทียมดอ เวลาจะกินกับข้าวแช่ ก็แกะออกเป็นกลีบเล็ก ๆ จัดใส่ถ้วยในสำรับ
๘.ก๋วยเตี๋ยวผัด เส้นหมี่ผัด ชาวบ้านเราถือเป็นสิ่งดี เพราะเป็นเส้น เป็นสิ่งที่ยาวไกล เป็นมงคล
    และอาจจะมี ไข่เค็มยำ  ก็อยู่ในเมนูด้วยเช่นกัน
   เสร็จสรรพกับข้าว คราวนี้ต้องนำไปที่ใดบ้าง  มาดูการเดินทางของข้าวแช่กันเลย

อันดับแรก ต้องนำข้าวแช่ไปเช่นบวงสรวงเทพยดา ฟ้าดิน นางสงกรานต์ โดยทุกบ้านจะสร้างบ้านสงกรานต์ เราเรียกกันว่า ฮ๊อยซังกรานต์ เป็นศาลเพียงตา สร้างชั่วคราวอย่างง่าย ๆ บริเวณลานโล่งหน้าบ้าน มักสร้างด้วยไม้ไผ่ อยู่ในระดับสายตา ความกว้างประมาณ ๑ ศอก สำหรับวางถาดอาหารได้  พ่อจะใช้ผ้าขาวปูรองพื้น ผูกผ้าสี ตกแต่งด้วยดอกไม้ ก็จะเป็นดอกสงกรานต์  (ดอกราชพฤกษ์ หรือดอกคูณ)
เราเรียกว่า ปะกาวซังกรานต และจะมีคำกล่าวถวายข้าวว่า อุกาสะ ๓ ครั้ง โต เทวโส ตันนัง กุสสังมยเคตัง เอหิ ตาน อาคัจฉันติ นิมันติปริภุญณโส เป็นอันเสร็จพิธีต้อนรับเทพีสงกรานต์ในปีนั้น

อันดับที่ ๒ นำไปให้ผีบ้านผีเรือน คือผีปู่ย่า ตายาย ที่เสาผีประจำบ้าน  ส่วนใหญ่คือเสาเอก  บ้านมอญจะมีห้อง สำหรับเก็บของ  โดยมีกระบุงใส่ต้นขาไก่ดำในกระบอกไม้ไผ่เล็ก ๆ ๙ กระบอก หีบบรรจุเสื้อผ้า แหวนพลอยสีแดง และหม้อดินใส่น้ำไว้ ภายในห้อง จะให้ลูกชายเป็นคนนำไปให้                                                

 อันดับที่ ๓ นำออกไปวัดเพื่อทำบุญถวายพระแต่เช้าตรู่  และใส่ปิ่นโตไปให้ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือใกล้ชิด  และเลี้ยงคนที่มาเยี่ยมเยือนในเทศกาลสงกรานต์   ยังจำได้ว่า เมื่อครั้งก่อน พ่อเคยให้นำปิ่นโตบรรจุข้าวแช่ไปถวายพระที่ วัดคงคารามด้วย พ่อบอกว่าบรรพบุรุษอยู่ที่นั่น คงหมายถึงพระยามอญทั้ง ๗ ที่มีเจดีย์อยู่รอบ ๆ อุโบสถที่วัดนี้ด้วย

ข้อมูลเหล่านี้เขียนจากความทรงจำของข้าพเจ้าเอง ส่วนรูปภาพนำมาจากสงกรานต์ชาวมอญนครชุมน์
ต้องขอขอบคุณรูปสวย ๆ ที่ท่านลงไว้ให้ จึงขออนุญาตนำมาใช้อ้างอิง  ภาพอื่น ๆ เป็นภาพที่บ้านของข้าพเจ้าเอง   และยินดีที่รับคำแนะนำจากท่านผู้รู้เป็นอย่างยิ่ง
อ่านต่อ >>

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

รสรักว่าหวาน ยังไม่ปานเท่าข้าวหมากบ้านโป่ง

เมื่อ 20 ปีก่อน คนบ้านโป่งเมื่อจะเข้ากรุงเทพฯ มาเยี่ยมญาติพี่น้องเพื่อนฝูง ของฝากจากบ้านโป่งที่ผู้ได้รับก็ยินดี ผู้ให้ก็ภูมิใจ ก็คือ ข้าวหมาก  ที่ลือชื่อว่าอร่อยนักหนา ใครแวะมาบ้านโป่งก็ต่องแสวงหามาชิม แต่ปัจจุบันข้าวหมากบ้านโป่งไร้ชื่อ ไม่มีอยู่ในทำเนียบของฝาก เว้นเสียแต่คนเก่าจะบอกเล่าและพาไปชิมข้าวหมากเจ้าเก่าดั้งเดิม อันเป็นที่มาของข้าวหมากบ้านโป่ง

บนถนนแสงชูโต หน้าห้องแถวเล็กๆ ที่เกลื่อนไปด้วยเศษใบตอง หากมองดูผ่านๆ จะไม่รู้เลยว่า ที่นี่ คือ แหล่งพำนักของยายชิด ชื่นจิต เจ้าตำรับข้างหมากบ้านโป่งอันมีชื่อในอดีต  ต่อเมื่อล่วงเข้าสู่ข้างใน กลิ่นเหล้าหอมหวานจากการหมักข้าวเหนียวจึงลอยมากระทบจมูก และยิ่งมั่นใจมากขึ้นเมื่อเห็นคุณยายวัยกว่า 80 ปี กำลังตักข้าวเหนียวในกะละมังตรงหน้า ใส่ลงบนใบตองที่วางซ้อนกันหลายชั้นอย่างขะมักเขม้น แม้เมื่อฉันยกมือไหว้ทักทาย คุณยายก็ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมอง เพียงรับคำและเชื้อเชิญให้นั่ง

ขณะที่ไต่ถามถึงจุดประสงค์การมาของฉัน คุณยายก็ยังคงทำงานตรงหน้าต่อไม่หยุดมือ คุยกันจนที่เข้าใจและพอจะคุ้นเคยมากขึึ้นแล้วนั่นแหละ คุณยายจึงเริ่มเล่าเรื่องราวของตนเองและที่มาของข้าวหมากบ้านโป่ง

"ยายเป็นพวกลาว ทางสร้อยฟ้าโพธาราม คือมีย่าเป็นลาว ปู่เป็นคนกรุงเก่า ยายทำข้าวหมากมาตั้งแต่อายุ 17-18 ทำกินกันเองในหมู่พี่ๆ น้องๆ ไม่ได้ทำขาย ใครๆ แถวนั้นก็ทำกันได้ทั้งนั้นแหละ ยายมาทำขายตอนย้ายมาอยู่แถวบ้านโป่งแล้ว"

คุณยายชิดย้ายมาอยู่บ้านโป่งกับเด็กรับใช้เพียงสองคน โดยมาอาศัยอยู่กับป้าที่บ้านตรงข้ามที่ว่าการอำเภอ (ก่อนไฟไหม้ครั้งใหญ่) แรกเริ่มก็ไม่ได้สนใจจะทำขาย เพราะเวลานั้นที่ตัวเมืองบ้านโป่งก็มีแม่ค้าจากโพธารามหาบเอาข้าวหมากมาขายกันอยู่ก่อนแล้ว จนได้รับการกระตุ้นจากผู้เป็นป้า จึงเริ่มทำและนำมาวางขายหน้าบ้าน รสข้าวหมากที่หวานหอมดึงดูดให้มีลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาจึงขยับขยายเอาไปขายส่งให้แม่ค้าในตลาดและที่สถานีรถไฟ

รสชาติข้าวหมากแม่ชิด เริ่มเป็นที่ร่ำลือ ถึงกับในวันศีลวันพระ คนบ้านโป่งต้องมาสั่งซื้อข้าวหมากไปถวายพระกัน และเวลาจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนญาติพี่น้องเพื่อนฝูงต่างถิ่น ก็ต้องมาแวะซื้อไปเป็นของฝาก วันไหนจะเดินทาง อยากได้ข้างหมากหวานมากหวานน้อย สามารถสั่งได้ตามต้องการ เพราะยายชิดจะบริการให้ตามสั่ง เป็นที่พออกพอใจของลูกค้า จนข้าวหมากบ้านโป่งกลายเป็นของฝากที่ขึ้นชื่อ และช่วงนี้เองก็เริ่มมีข้าวหมากเจ้าอื่นๆ ทยอยทำตามกันมา

"ทำไม่ยาก ใครๆ ก็ทำได้ แค่เอาข้าวเหนียวมานึ่ง ใส่ลูกแป้งลงคลุกเคล้า ก็ตักใสห่อทิ้งไว้ได้แล้ว" ยายชิดบ่ายเบี่ยงที่จะตอบ เมื่อถูกถามถึงเคล็ดลับและวิธีการทำข้าวหมากให้อร่อยเป็นที่ถูกปากนักชิมข้าวหมากทั้งหลาย แต่คุยกันนานเข้า ยายชิดจึงค่อยๆ เผยความว่า

"ต้องเลือกแต่ของดีๆ มาทำข้าวเหนียวอย่างดี ลูกแป้งดี ลูกแป้งไม่ดีทำไว้สามสี่วันก็เปรี้ยวแล้ว ถ้าเป็นของดี เก็บข้างหมากไว้ได้ถึงเจ็ดวัน แต่จะหวานมาก..ที่กินข้าวกรุบก็เพราะข้าวเหนียวไม่ดี มีข้าวเจ้าปน ต้องเลือกต้องพิจารณา...อย่างข้าวเหนียวต้องรู้ว่าเป็นข้าวเก่าหรือข้าวใหม่ เพราะมีผลเวาแช่ข้าว ว่าจะแช่นานหรือไม่นาน ปกติยายแช่ข้าวเหนียวคืนเดียว พอรุ่งเช้าก็นึ่งแล้ว เวลานึ่งต้องนึ่งให้ข้าวสวยเป็นเม็ดไม่แฉะ ถ้าแฉะข้าวหมากจะเละ ทิ้งไว้จนข้าวเย็น ก็เอาลูกแป้งมาบี้ให้ละเอียด ผสมคลุกเคล้ากับข้าวเหนียว  ยายใช้ลูกแป้งหนึ่งลูกกับข้าวสี่ลิตร หากใช้ลูกแป้งน้อยจะไม่หวาน เมื่อคลุกเคล้ากันดีแล้วก็ตักใส่หอได้เลย หมักทิ้งไว้สองคืน ส่งขายได้ ตอนนี้จะยังไม่หงานมาก ถ้าอยากให้หวานจัดก็ทิ้งไว้สามคืน หากเป็นหน้าหนาวก็ต้องสามคืนเหมือนกันจึงจะดี ซื้อไปก็เก็บใส่ตู้เย็นเก็บไว้กินได้เลย แต่ถ้าข้าวหมากยังไม่ได้ที่ เอาไปเข้าตู้เย็นมันจะคืนตัว ข้าวกรุบแข็งเลย"

"ข้าวหมากยายจะห่อด้วยใบตอง แล้วใช้ใบมะพร้าวเตียว ทำอย่างนี้มากเก่าแก่ แต่ก่อนตักใส่กันบนใบตองเลย ไม่ได้มีพลาสติกรองอย่างเดียวนี้หรอก แต่คนกินเขาบอกว่ามันไม่สะอาด ยายเลยต้องใช้พลาสติกกับเขาเหมือนกัน แต่ยายว่าใส่ใบตองมันหอมนะ"

ข้าวหมากยายชิด ปัจจุบันจึงมีทั้งใส่ถุงพลาสติกและใส่ใบตองวางขาย หากใส่ถุง ขายถุงละ 5 บาท แต่ถ้าห่อใบตอง ขายเป็นพวง พวงละ 20 บาท มีห้าห่อ ทุกวันนี้นอกจากวางขายที่บ้านแล้ว ข้าวหมากยายชิดยังมีวางขายที่ร้านกาแฟบนถนนทรงพลด้วย

ก่อนลากกลับ ฉันกระซิบถามยายชิดว่า ข้าวหมากที่ดีนั้นต้องงมีคุณสมบัติอย่างไร

"ต้องหวานสนิทและข้าวไม่กรุบน่ะสิ อย่างของยายไง เคยมีคนมาถามแบบนี้ แล้วเขาเอาไปเขียนเปรียบว่า ข้าวหมาากของยาย "รสรักว่าหวาน ยังไม่ปานเท่าข้าวหมากบ้านโป่ง" "

หมายเหตุ : ขณะกำลังจัดทำต้นฉบับ ผู้เขียนได้ทราบข่าวว่า คุณยายชิดเสียชีวิตแล้ว จึงขอคารวะมา ณ ที่นี้ ปัจจุบันข้าวหมากยายชิดยังผลิตขายอยู่  โดยมีป้าน้อย อินทะแพทย์ เป็นผู้สืบทอดฝีมือต่อ

ที่มา :
ข้อมูล : สุดารา สุจฉายา. (2541). รสรักว่าหวาน ยังไม่ปานเท่าข้าวหมากบ้านโป่ง. ราชบุรี. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สารคดี. (หน้า 290-291)
ภาพ: http://kawmakcup.ob.tc/picture/12661/1266111577kawmakcup.jpg
อ่านต่อ >>

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ตำนานของดีโพธาราม ไชโป๊วหวาน ถั่วงอก และน้ำปลา

เมื่อแรกมาเยือนโพธารามแล้ว ถามหาของฝาก หลายล้วนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ของดีโพธารามที่ขึ้นชื่อลือชาจนกลายเป็นสินค้าออกส่งไปขายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปนั้น มีอยู่สามอย่าง คือ ไชโป๊วหวาน ถั่วงอก และน้ำปลา ซึ่งล้วนมีกำเนิดมาจากชาวจีนที่พำนักอยู่ในโพธารามทั้งสิ้น

ไชโป๊วหวานของ ต.เจ็ดเสมียน อ.โพธาราม รสดี กินอร่อย มีวางขายอยู่ตามห้างร้านทั่วไป ไม่ต้องลำบากมาถึงที่นี่  แต่ไหนๆ เมื่อมาถึงถิ่นแล้วจะผ่านเลยไปก็ใช่ที่ เราจึงยกขบวนเข้าไปถึงแหล่งผลิตกันเลยที่เดียว

ไชโป๊วหวาน เจ้าเก่าแก่ของที่นี่ใช้ชื่อว่า "ไชโป๊วหวานแม่ฮวย" ซึ่งเป็นเจ้าตำรับพลิกแพลงเอาไชโป๊วดองเค็มแบบดั้งเดิม ที่คนแถวนี้ส่งปากคลองตลาดสมัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน มาทดลองดองหวาน จนกระทั่งติดตลาดและติดใจนักชิมทั้งหลาย มีทั้งแบบหัวใหญ่ แบบชิ้น แบบฝอย แบบแว่น แล้วแต่จะชอบแบบไหน ที่สำคัญคือ ด้านหลังห่อพลาสติกสวยสดสีเขียวสลับสีส้มนั้น ยังพิมพ์วิธีปรุงเอาไว้ให้ลูกค้าอีกด้วย

"แต่ก่อนแม่ทำดองเปรี้ยวด้วย ทำหลายอย่าง...แล้วแต่ฤดู แม่ทำหัวไชโป๊วปีละหน ตอนหลังราคาถูก เลยคิดดองหวาน แม่ทำกรอบประณีต สะอาด แรกๆ ทำในบ้านมี 20 กว่าโอ่ง ทำไปทำมาก็ขยายใหญ่ได้สัก 20 ปี เห็นจะได้ ลูกผู้หญิงสองคนจึงมาสานต่อ" พี่ติ๋ว ลูกสาวแม่ฮวยถ่ายทอดประวัติให้เราแทนแม่ซึ่งชรามากแล้ว พร้อมกับพาเดินทะลุไปด้านหลังร้าน

หัวไชโป๊วเค็มกองเท่าภูเขาเลากาที่เห็นอยู่ตรงหน้า เล่นเอาตะลึงไปชั่วขณะ คนงานหญิงที่ทราบภายหลังว่า ส่วนใหญ่เป็นแม่บ้านแถวนี้ ซึ่งมาหาลำไพ่พิเศษ กำลังสาละวนอยู่กับการฝาน ซอย สับ หัวไชโป๊วสีน้ำตาลกันอย่างขะมักเขม้น

"ไชโป๊วดองหวานเอาแบบดองเค็มมาทำ แต่ต้องทำให้เค็มกว่าปกติ ไม่งั้นมันจะเหนียว ไม่กรอบ ขั้นตอนการทำนั้น เรารับหัวไชเท้าสดมาจากบ้านโคกหม้อ บ้านกล้วย คลองยายคลัง ซึ่งเดิมเขาก็ปลูกกันอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เราออกทุนให้เขา จึงติดต่อกันเป็นประจำ พื้นที่ปลูกแถวนี้เป็นลูกไร่ของเราหมด ที่นี่ดินดี เป็นดินทรายระบบ และมีน้ำค้างมาก หัวไชเท้าจึงมีคุณภาพดี ถ้าใช้ผักที่อื่นอย่างนครสวรรค์ เมืองกาญจน์ ผักมันจะยุบง่าย เราก็ไม่เอา เว้นแต่ปีไหนผักน้อยก็ต้องอาศัยบ้าง"

"ได้ผักมาแล้วเทเกลือใส่ ไม่ต้องปอกเปลือก เช้าขึ้นก็ใส่เกลืออีก หมักไว้สองสามวัน แล้วใส่เกลือเพิ่มให้เยอะขึ้นก่อนถ่ายเก็บเข้าที่ พอจะใช้ก็ขนเอามาคัดขนาด แยกเป็นใหญ่ เล็ก จิ๋ว และอย่างไม่สวยซึ่งจะเอาเข้าเครื่องสับส่งโรงทำตั้งฉ่าย ที่เหลือเราต้องใช้มือทำหมด ตั้งแต่คัดเกรด ฝ้าหรือฝ่อก็ไม่เอา ถ้าทำอย่างหวานเอาหัวไชโป๊วที่เค็มออกมาล้างให้หมด แล้วแช่น้ำตาลทรายขาวล้วน ขัณทสกรกับสีนี่ไม่ใส่เลย ความกรอบอยู่ที่ผักธรรมชาติ อายุการรับประทานราวสามเดือน ถ้าเกินไปจะไม่อร่อย ผักจะนิ่ม หลังจากนั้นก็มีคนทำตาม ตอนนี้เราทำส่งอเมริกาด้วย"

เคล็ดลับความอร่อยจากการเลือกสรรแต่ของดีมีคุณภาพ ทำให้ชื่อเสียงไชโป๊วหวานแม่ฮวยขจรขจายไปไกล จนกระทั่งลูกสาวแม่ฮวยกระซิบกับเราว่า "...หม่อมถนัดศรีเขายังเคยมาชิม เอาไปออกทีวีด้วยนะ"

หากใครสงสัยเรื่องความสะอาด ฝาชีหลากสีครอบฝาโอ่งดองหวานที่เรียงรายอยู่คงเป็นเครื่องรับประกันความสะอาดของไชโป๊วที่นี่ และยิ่งเราเตร่เข้าไปใกล้ตัวแมลงที่บินเวียนอยู่ตรงบริเวณที่ใช้บรรจุถุง ก็พบว่า มันเป็นแมลงหวี่ตัวใหญ่ที่ชอบตอมขนมหวาน ห่าใช่เจ้าหัวเขียวที่นึกเอาไว้ในใจไม่

เมฆดำที่เริ่มก่อเค้าบังแดดบ่าย ทำให้เรารีบลาจากเพื่อไปตามหาแหล่งผลิตน้ำปลา ที่ว่ากันว่าทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน และส่งขายไปทั่วประเทศกันนับสิบเจ้าใกล้ๆ กับตลาดโพธาราม ก่อนจากมาเราหันไปมองตึกใหญ่ซึ่งเป็นทั้งที่อาศัยและโชว์สินค้า พร้อมกับแว่วเสียงคำพูดของลูกสาวแม่ฮวยว่า "ที่ได้มาทั้งหมดนี่ ก็เพราะไชโป๊วทั้งนั้นแหละ"

ฝนเม็ดหนากระหน่ำหนักลงมาแทบจะในทันทีที่ก้าวเข้าไปในโรงเรือนขนาดใหญ่ กลิ่นแปลกๆ ที่ลอยอวลขึ้นมาจากบ่อหมักหลายสิบบ่อ โชยมาเตะจมูก จนต้อวรีบควักผ้าเช็ดหน้ามาอุดกันวุ่นวาย ช่วยเร่งฝีเท้าของเราให้เข้าไปยังส่วนสำนักงาน

แทบไม่น่าเชื่อว่า เจ้าน้ำสีคล้ำในบ่อซีเมนต์ขนาดใหญ่มีขี้เกลือจับเขลอะอยู่ตรงขอบนั้น จะกลายมาเป็นน้ำปลารสดีสีน้ำตาลใสใช้ปรุงแต่งรสอาหารได้ คุณอดุลย์ ศิรประภาพงศ์ เจ้้าของโรงงานลิ้มเซ่งเฮง อธิบายให้เราฟังว่า บ่อที่เห็นอยู่นั้นผ่านการหมักมานานเกือบได้ที่ แต่กว่าจะได้น้ำปลารสดีออกมาบรรจุขวดขาย ต้องอาศัยเวลาตั้งแต่ปีครึ่งถึงสองปีเลยทีเดียว

"สมัยก๋ง มาจากเมืองจีน ยังไม่มีโรงน้ำปลา ก็มาเป็นลูกจ้างเขาทำโรงสีบ้าง ทำสวนบ้าง ตอนหลังเห็นมีปลาเยอะก็เริ่มทำ ปลาที่ใช้เป็นปลาสอย ปลาซิว ปลาน้ำผึ้ง ปลาตะเพียนก็ใช้ได้ แต่เอาตัวเล็กต้องไม่เกิน 2 นิ้ว ถ้าปลาตัวใหญ่มักแล้วไม่ย่อย"

"ก๋งทำแค่เล็กๆ ใช้ไหใช้โอ่ง มารุ่นเตี่ยถึงขยายเป็นบ่อหมัก แต่ก่อนชาวบ้านเขาจับปลามาขาย พอหน้าน้ำหลาก ปลามันเข้าไปวางไข่ตามทุ่งนา พอน้ำลด ปลาก็จะกลับ ก็ดักจับได้ทีละเป็นหมื่นๆ โล ตอนหลังปลาไม่มี เพราะเขาทำเขื่อน ไม่มีน้ำท่วม ตามทุ่งนาก็มียาฆ่าแมลงด้วย ปริมาณปลาเลยลด เดี๋ยวนี้โรงงานในโพธารามใช้ปลาทะเลทั้งหมด ถูกกว่ากันเยอะ วิธีหมักก็เหมือนกัน ใช้ปลาหนึ่งส่วน เกลือสองส่วน..ผมว่าปลาน้ำจืดทำน้ำปลาอร่อยกว่า เพราะไขมันสูงกว่า รสชาติดีกว่า"

"แต่ก่อนทำน้ำปลาแบบไม่ได้ปรุงแต่งอะไร รุ่นก๋งหมักได้แล้วก็กรองขายเลย ใส่ไหส่งขายจังหวัดใกล้ๆ ไหนี่ก็สั่งมาจากโรงโอ่งที่ราชบุรี พอรุ่นเตี่ยขยายไปส่งทางเหนือ ทางอีสาน ที่นี่คนจีนแต้จิ๋วเป็นคนทำ สมัยก๋งทำกันอยู่สี่ห้าโรง รุ่นเตี่ยขยายเป็น 10 กว่าโรง แต่ตอนนี้ย้ายไปเยอะเหลือแค่ห้าหกโรง เพราะลูกหลานหันไปประกอบอาชีพอื่น ถ้าทำก็ต้องมียี่ห้อของตัวเอง หาตลาดส่งด้วย ส่วนใหญ่ส่งภาคเหนือกับภาคอีสาน เพราะทางใต้เขามีทำกันอยู่"

เคล็ดลับความอร่อยของน้ำปลาโพธารามในอดีต คงเป็นเพราะการเลือกใช้ปลาน้ำจืดและคัดเอาแต่หัวปลา ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดของน้ำปลาแท้ออกส่งขายให้ลูกค้านั่นเอง น้ำปลาของที่นี่ขายดิบขายดีมีชื่อเสียงไปทั่ว แต่น่าเสียดายทุกวันนี้ โรงน้ำปลาในโพธารามทุกแห่งต้องหันมาใช้ปลากะตักจากทะเลมาหมักแทน เพราะมีปริมาณมากและหาได้ง่าย แถมยังมีราคาถูกกว่าพวกปลาซิวปลาสร้อย

ปัจจุบันโรงงานน้ำปลาแต่ละแห่งไม่ได้ผลิตน้ำปลาเกรดดีอย่างเดียวเหมือนในอดีต หากติดฉลากหลากหลายยี่ห้อ เพื่อสนองตามความต้องการของตลาดและฐานะของผู้บริโภค ขวดที่ติดฉลากว่า น้ำปลาแท้ คือ น้ำปลาชั้นหนึ่ง กรองเอาหัวน้ำปลามาบรรจุขวด รองลงมาคือน้ำปลาผสม ซึ่งมีราคาย่อมเยากว่า เพราะเอาหัวน้ำปลามาเจือน้ำเปล่าเพื่อลดความเข้มข้น แล้วปรุงแต่งรสให้ใกล้เคียงกับน้ำปลาแท้ สุดท้ายที่ราคาถูกกว่าใคร คือ น้ำเกลือปรุงแต่งรส เติมสีสันให้คล้ายของจริง ไม่มีวางขายตามห้าง แต่มักไปโผล่อยู่ตามร้านค้าต่างจังหวัด และเมื่อถามถึงน้ำปลาเทียมที่ได้ยินข่าวลือมาว่าใช้น้ำกระดูกสัตว์ใส่สีหลอกขายนั้น คำตอบที่ได้รับทำเอาโล่งอกไปได้มากทีเดียว

"น้ำปลาคือเลือดกับเนื้อปลาที่ย่อยสลาย ที่ว่าผสมกระดูกสัตว์รับรองได้ว่าไม่มีแน่นอน เพราะไม่มีเลือดไม่มีเนื้อ อย่างมากที่ทำกันอยู่ก็คือ น้ำเกลือผสมสี แต่ก็ไม่ทำกันเท่าไหร่ เพราะทำแล้วไม่คุ้มทุน ค่าแรงอะไรก็ต้องเสียเท่าน้ำปลาดี สู้ทำน้ำปลาดีไปเลยดีกว่า"

คนซื้อน้ำปลาจะดูสีไม่รู้หรอก ต้องดมกลิ่น กลิ่นมันฟ้อง รสก็พิสูจน์ได้ น้ำปลากับน้ำเกลือรสไม่เหมือนกัน ความหอมต่างกัน น้ำปลาแท้ถ้าเก็บไว้ในขวดนานๆ สีไม่เปลี่ยน เว้นแต่เปิดขวดใช้แล้วเขย่า อากาศจะเข้าไปทำปฏิกิริยาให้สีน้ำปลาเข้มขึ้น แต่ไม่เสีย"

เถ้าแก่กล่าวทิ้งทายก่อนจะหันหลังไปหยิบขวดน้ำปลาหลากยี่ห้อที่ล้วนผลิตจากโรงงานแห่งนี้มาให้เราดู

ภาพของชายหนุ่มร่างกำยำจำนวนนับสิบที่ยืนแช่น้ำก้มหน้าก้มตาแกวางตะแกรงร่อนบางสิ่งอยู่ริมฝั่งแม่กลองตรงหน้าเขื่อน ตลาดเมืองโพธารามในยามโพล้เพล้ สร้างความสงสัยให้คนต่างถิ่นอย่างเราไม่น้อย ต่อเมื่อเดินเข้าไปใกล้แล้ว นั่นแหละจึงหายข้องใจ เพราะกิจกรรมที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านั้น คือ มหกรรมการล้างถั่วงอกจำนวนนับพันกิโลกรัมเพื่อเตรียมส่งไปขายในกรุงเทพฯ ให้ทันตอนเช้ามืด ภาพถั่งงอกลำต้นยาวขาวสะอาดที่บรรจุเรียบร้อยในถุงพลาสติกใบใหญ่ รอการขนถ่ายขึ้นรถ ดูจะแตกต่างจากที่เคยได้ยินมาว่า เอกลักษณ์ของถั่วงอกโพธารามนั้นต้องมีลำต้นอวบสั้น ต่างจากที่อื่นจนเห็นได้ชัด เมื่อสอบถามความเป็นมาเป็นไป ก็ได้รับคำยืนยันว่า ที่เห็นอยู่นี้เป็นถั่วงอกเมดอินโพธาราม หาใช่ถั่วงอกจากที่อื่นเอามาล้างย้อมแมวขายไม่ แต่เป็นเพราะเหตุใดหน้าตาถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้

คุณยายเฮงเลี้ยง  แซ่อึ้ง เจ้าถั่วงอกเก่าแก่ของโพธารามขยายความให้ฟังว่า แต่ก่อนนั้น ถั่วงอกโพธารามมีลำต้นอวบอ้วนอย่างที่เขาร่ำลือ และไม่ได้เพาะในปี๊บอย่างที่เห็น แต่ลงไปเพาะตามหาดทรายริมน้ำแม่กลองในยามที่น้ำลดระดับลง ยิ่งในฤดูแล้ง ราวเดือนธันวามคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี น้ำจะแห้งจนเกิดเป็นหาดทรายกว้างบริเวณหน้าเมือง ถึงขนาดสามารถลงไปจัดงานประจำปีที่เรียกว่า "งานหาดทรายโพธาราม" กันกลางหาดได้เลยทีเดียว

"แต่ไม่ได้ลงไปเพาะถั่วงอกกันกลางหาดหรอกนะ ทำอยู่ตรงชายๆ เดี๋ยวเขามาเหยียบหมด...ถั่วงอกมีชื่อของที่นี่คือ ถั่วงอกทราย เวลาเพาะต้องขุดหลุมทรายแล้วเหยียบให้มันแน่นๆ ถ้าขุดตรงที่สูงก็ต้องให้ลึก คือให้มีน้ำอยู่ใต้ทรายเพื่อให้รากดูดได้ กรรมวิธีเพาะนั้นต้องแช่ถั่วล้างน้ำให้เกลี้ยง นำไปหวายแล้วกลบทรายให้มิด เหยียบให้แน่น ถั่วมันดันไม่ขึ้นก็อ้วนสั้น เพราะทรายมันมีน้ำหนัก ทำปี๊บใสชี้เถ้าแกลบเพาะมันแห้ง ไม่มน้ำหนัก อ้วนสู้หาดทรายไม่ได้"

"สมัยก่อนที่หาดมีแต่หลุม เพาะถั่วงอกกันเยอะ หลุมใครหลุมมัน รู้กัน เพราะลักษณะหลุมไม่เหมือนกัน ถั่วงอกขุดขึ้นมาก็ไม่เหมือนกัน ของยายทำหลุมสี่เหลี่ยมใหญ่เป็นเมตร ได้เป็น 100 กิโล เพาะทุกวัน ถึงเวลาก็ไปขุดดูว่าต้องรดน้ำหรือเปล่า สามวันก็ขุดขึ้นมาล้างขายได้ เราใช้สามหลุม ขุดสลับกันไปทุกวัน เช้าขุดหลุม เย็นก็ไปเพาะ แต่ต้องไม่ใช่หลุมเดิม ขุดเอาใหม่ ถ้าจะกลับไปใช้หลุมเก่าต้องให้ผ่านไปเดือนนึงเพื่อให้เชื้อมันหมดก่อน ถ้าเพาะซ้ำมันจะเน่า เพราะมันมีเศษถั่วงอกค้างอยู่ก้นหลุม"

"แต่ก่อนทำกันเจ็ดแปดเจ้า ขายในตลาดนี่แหละ แต่ก็ส่งกรุงเทพฯ ด้วย เดี่ญวนี้ที่ล้างกันอยู่ริมน้ำเป็นเจ้าใหม่ๆ ทำส่งเป็นพันๆ กิโล ทำกันมา 10 กว่าปีแล้ว ส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างมาก่อนแล้วออกไปทำเอง ถั่วงอกเพาะปี๊บดีสู้เพาะในหาดไม่ได้ แต่ถั่วงอกโพธารามก็ดีกว่าที่อื่น ส่วนใหญ่ส่งขายกรุงเทพฯ บางทีเขาก็มารับกันถึงที่ ตรงที่ล้างกันนั่นแหละ"

"เดี๋ยวนี้ ถั่วงอกหวานกรอบ เพราะแช่สารส้มก่อนเป็นน้ำสุดท้าย แช่มากก็ไม่ได้ มันจะฝาด แต่สมัยยายทำหาดทรายล้างแล้วส่งเลย ไม่ต้องแช่ รสดีกว่ากันเยอะ หวานกรอบอร่อยจริงๆ เดี๋ยวนี้ ต้องเพาะถั่วงอกให้ยาว ไม่งั้นทุนไม่คืน เพราะขี้เถ้าแกลบก็ต้องซื้อจากโรงสีแถวสุพรรณฯ สมัยก่อนเขาให้เลยฟรีๆ แล้วไหนจะค่าน้ำค่าไฟอีก ถั่วเขียวกิโลละ 20 บาท ลูกจ้างล้างคืนหนึ่งตั้ง 150 บาท ต้องใช้หลายคน ของยายคืนนึง 30-40 ปี๊บ ปี๊บนึงล้างแแล้วได้ถั่วงอก 10 กิโล ใช้ถั่วดิบ 2 กิโลมาเพาะ"

คุณยายบ่นให้ฟังถึงความยากลำบากของการเพาะถั่วงอก เมื่อต้องย้ายจากหาดทรายมาเพาะกันในโรงเรือน แถมยังสำทับอีกว่า ถ้าใครเพาะถั่วงอกขายก็ต้องดูแลประคบประหงมอย่างดียิ่งกว่าลูกเลยทีเดียว เพราะต้องคอยเฝ้าดูไม่ให้ถั่วงอกขาดน้ำ ส่วนเคล็ดลับที่ทำให้ถั่วงอกมีสีขาวนั้น คุณยายบอกว่าอยู่ที่การเลือกซื้อถั่วเขียว

"ต้องเลือกที่เป็นเปลือกเขียว ถ้าเปลือกแดงถั่วงอกจะออกมาแดง แต่ถั่วเดี๋ยวนี้เอามาเพาะยาก เขาเร่งปุ๋ย เร่งยา เราจึงต้องใส่ยาเร่งให้งอกด้วย ไม่งั้นไม่ยาว ไม่อ้วน ขายไม่ออก"

พอเราย้อนถามถึงถั่วงอกหาดทรายว่า จะพอหาซื้อกลับไปกินได้จากที่ไหน คุณยายหัวเราะร่วนพร้อมกับกล่าวว่า "เลิกทำมาตั้งแต่ปี 20 โน่นแหละ จะเอาหาดที่ไหนทำ ทรายมันหมด เขาดูดเอาไปขายจนไม่เหลือหาดให้เพาะถั่วงอกแล้ว" 

ที่มาข้อมูล
-สุดารา สุจฉายา. (2541). ของดีโพธาราม. ราชบุรี. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สารคดี. (หน้า 292-295)

ที่มาของภาพ
-http://www.oocities.com/thailanding/rachaburi/04.jpg
-http://i287.photobucket.com/albums/ll150/momo7301/my%20toys/meeting/023.jpg
-http://i174.photobucket.com/albums/w117/Freedom_on_my_way/06-09_10_2550%20Hat%20yai%20-%20Padang%20besar/P1030969-01.jpg
-http://gotoknow.org/file/pentiva_38/tua14.JPG
อ่านต่อ >>

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ความเป็นมาข้าวห่อ

ความเป็นมา
บ้านโป่งกระทิงบน ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลบ้านบึง อำเภอบ้านคา จังหวัดราชบุรี เดิมชื่อบ้านกะเหรี่ยงว่า “บ้านกุ่ยโน่” ต่อมามีการติดต่อกับชาวไทยมากขึ้น จึงเรียกชื่อเป็นภาษาไทยว่า “บ้านบนเขา” เมื่อทางการ ได้เข้ามาพัฒนาโดย นพค. และ กรป.กลาง ได้พบเห็นกระทิงมากินดินโป่งอยู่บ่อย ๆ จึงเรียกว่า “โป่งกระทิง” แต่เนื่องจากมี 2 หมู่บ้านติดต่อกัน จึงเรียนกว่า “บ้านทิ่ยโท” ซึ่งเข้าถึงกันก่อนเรียกว่า “โป่งกระทิงล่าง” และเรียกอีกหมู่บ้านบนเขาว่า “โป่งกระทิงบน” ปัจจุบันบ้านโป่งกระทิงบนยังมีประชากรชาวกะเหรี่ยงหรือชาวไทยตะนาวศรีเกือบ 50% และยังรักษาประเพณีที่ร่วมใจกันสืบทอดของชาวกะเหรี่ยงในเขต ราชบุรี – เพชรบุรี คือ เทศกาลเดือนเก้า อั้งหมี่ถ่อง หรือ ประเพณีกินข้าวห่อ ซึ่งเป็นการรวมญาติมาพบปะสร้างสรรค์มีการทำพิธีเรียกขวัญ เพื่อเป็นสิริมงคลกับทุกคน


พิธียกเสาหงส์เสาหงส์ ชาวกะเหรี่ยงพุทธในสมัยก่อนมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาแต่หาโอกาสเข้าศึกษาบทเรียนได้ยาก เพราะเป็นชาวป่า ชาวดงไม่เหมือนคนไทยหรือคนมอญที่มีความเจริญรุ่งเรืองในศาสนา ชาวกะเหรี่ยงมีความเชื่อว่า “หงส์” เป็นนกแห่งสวรรค์สามารถเป็นสื่อนำความดี และนำความดีที่ชาวกะเหรี่ยงทำไปบอกกล่าวให้พระพุทธเจ้าได้รับทราบ เพื่อจะได้นำพระธรรมคำสอนที่บริสุทธ์ มาให้ชาวกะเหรี่ยงได้ศึกษาและปฏิบัติต่อไป ด้วยการยึดหลักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะสูงสุด จะมีเจดีย์หรือเสาหลักบ้านเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า และมีเสาหงส์เคียงคู่เพื่อใช้ทำพิธีประกอบในวันสำคัญทางศาสนา

อั้งหมี่ถ่อวง ประเพณีกินข้าวห่อ
กะเหรี่ยงโปหรือกะเหรี่ยงโพลง หรือชาวไทยตะนาวศรี เป็นกลุ่มที่อาศัยตามแนวชาวแดนด้านตะวันตกของจังหวัดราชบุรี – เพชรบุรี จังหวัดราชบุรีจะอยู่ในเขตอำเภอสวนผึ้ง ปากท่อ บ้านคา เป็นกลุ่มที่มีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มมายาวนาน
ประเพณีกินข้าวห่อ หรืออั้งหมี่ถ่อง เกิดจากความเชื่อเกี่ยวกับขวัญประจำตัวของคนกะเหรี่ยงเชื่อว่าทุกคนมีขวัญประจำของคนกะเหรี่ยงเชื่อว่าทุกคนมีขวัญประจำตัวเป็นสิริมงคลแก่ตัว หากใครที่ขวัญหายไม่อยู่กับตัว อาจทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ ดังนั้นแต่ละปีชาวกะเหรี่ยงจึงมีประเพณีเรียกขวัญผูกข้อมือกินข้าวห่อขึ้น
ประเพณีกินข้าวห่อจะจัดในเดือน 9 ของทุกปี แต่ละหมู่บ้านจะจัดขึ้นไม่ตรงกันทำให้ญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงสามารถไปมาหาสู่ร่วมกิจกรรมกันได้ ชาวกะเหรี่ยงเชื่อว่า เดือน 9 หรือ “หล่าคอก” เป็นเดือนที่ไม่ดี เพราะบรรดาวิญญาณชั่วจะกิน “ขวัญ” ของคนที่เร่ร่อนไม่อยู่กับเนื้อกับตัวทำให้เจ้าของขวัญเจ็บป่วยได้
ก่อนถึงวันงาน 3 วัน ชาวกะเหรี่ยงจะต้องเตรียมอุปกรณ์ เช่น ใบผาก ใบตอง และข้าวเหนียวและเริ่มห่อข้าวเหนียวห่อด้วยใบผากหรือใบตองแล้ว แช่น้ำทิ้งไว้ ในวันสุกดิบจะมีการต้มข้าวทั้งหมดให้เสร็จ พร้อมทั้งเคี่ยวน้ำกะทิและเตรียมอุปกรณ์เซ่นไหว้ในตอนหัวค่ำของวันนี้ จะมีการยิงปืน จุดประทัด เคาะแม่บันได้ ให้เกิดเสียงดังเพื่อเป็นขวัญที่อยู่ไกล ๆ ได้รับรู้และจะได้เดินทางกลับมาในคืนนี้ประตูหน้าต่างของทุกบ้านจะเปิดเอาไว้ เพื่อให้ขวัญที่เดินทางกลับมาเข้าบ้านได้
ก่อนรุ่งอรุณของวันใหม่จะมีการยิงปืน จุดประทัด เคาะแม่บันไดอีกครั้งเพื่อเรียกขวัญที่อยู่ไกลบ้านยังเดินทางมาไม่ถึงให้รีบมา จากนั้นผู้เฒ่าประจำบ้านจำนำเครื่องรับขวัญที่ประกอบด้วย ข้าวห่อครูหรือข้าวห่อพวง กล้วยน้ำว้า อ้อย ยอยดาวเรือง เทียน สร้อยเงิน กำไรเงินและด้ายแดง มาทำพิธีเรียกขวัญ โดยจะไล่ผู้อาวุโสสูงสุด และรองไปตามลำดับในครอบครัว ซึ่งช่วงนี้ลูกหลานที่ไปอยู่ที่อื่นจะได้รู้จักกันว่าใครคือ พี่ ป้า น้า อา หรือน้อง ทำให้เกิดความรักความเกรงใจและความสามัคคีในกลุ่ม
อ่านต่อ >>