แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อ.โพธาราม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ อ.โพธาราม แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เขาเขียว โพธาราม..ต้นตำนานนางกวัก

เรื่องประวัติเขาเขียว ต.เขาชะงุ้ม อ.โพธาราม จ.ราชบุรี นี้ ผู้จัดทำไปอ่านพบในหนังสือที่ระลึกการประชุมวิชาการขององค์การเกษตรกรในอนาคตแห่งประเทศไทย (อ.ก.ท.)  ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ในคราวจัดทำแจกจ่ายในการประชุมภาคกลางครั้งที่ 25  ณ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี (เรียกกันทั่วไปว่าเกษตรเขาเขียว) เมื่อวันที่ 24-28 พฤศจิกายน 2546

บทความนี้เขียนโดย คุณคำรณ  แพงไพรี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ประธานเขต 18 ภูมิภาคที่ 6 ไลออนส์สากล ภาค 310 ดี นายกสโมสรไลออนส์โพธาราม  ท่านได้ศึกษาประวัติของเขาเขียวด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ ท่านประสบความมหัศจรรย์จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเขาเขียวด้วยตนเองถึง 3 ครั้ง และอีกประการหนึ่งเกิดจากท่านผู้ใหญ่ 2 คนซึ่งเป็นผู้อาวุโสทั้งคุณวุฒิ วัยวุฒิ และยศฐาบรรดาศักดิ์ ได้ขอร้องให้ศึกษา เพราะเชื่อว่า เขาเขียวคือต้นกำเนิดของประวัติศาสตร์ไทย คนไทยมิได้อพยพมาจากแหล่งอื่นแต่อยู่ที่นี่ ...ที่เขาเขียวนี้เอง



คุณคำรณฯ เขียนเรื่องราวของเขาเขียว เอาไว้ พอสรุปได้ดังนี้.....

สมัยเมื่อ 4,000 ปีเศษ เขาเขียวเป็นดินแดนที่ติดชายทะเล
เมื่อน้ำทะเลขึ้นก็จะโอบล้อมเขาเขียว เมื่อน้ำทะเลลงก็สามารถเดินทางติดต่อกับแผ่นดินใหญ่ได้โดยการเดินเท้า เขาเขียวเป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพรรณธัญญาหารแมกไม้นานาพรรณ ท้องทะเลสมบูรณ์ด้วยสัตว์น้ำที่เป็นอาหาร เขาเขียวมีถ้ำปรากฏอยู่มากมายใช้เป็นที่หลบซ่อนศัตรูและเก็บรักษาสมบัติต่างๆ  น้ำทะเลเปรียบเสมือนปราการสำคัญทางธรรมชาติที่ช่วยปกป้องผืนแผ่นดินเขาเขียวจากภยันตรายภายนอก เขาเขียวในสมัยนั้นจึงมีผู้คนอาศัยกันอยู่คับคั่ง  มีอารยะธรรมที่รุ่งเรืองตามกาลสมัย ผู้คนสร้างบ้านเรือนอยู่บริเวณโดยรอบเขาเขียว ตามที่ราบลุ่มและตามชายหาด

องค์อินอธิราช
ในกาลครั้งนั้นได้มีบุรุษ 3 คน เดินทางมาถึงเขาเขียว ทั้ง 3  คนเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน คนพี่ซึ่งน้องๆ ยอมรับว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการสูงกว่าคนอื่น ได้เข้าปกครองเขาเขียว และตั้งเมืองขึ้นใหม่ที่เขาเขียวแห่งนี้ชื่อว่า "เมืองวังแก้ว" และเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองทรงพระนามว่า "องค์อินอธิราช" 

ส่วนคนกลาง (ไม่ทราบพระนามจริง)ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเสมือนพระมหาอุปราชของเมืองวังแก้ว ปกครองเขาเขียวอีกยอดหนึ่งถัดไป (เขาเขียวมีภูเขาหลายลูก)  คนกลางนี้ต่อมาก็คือ "ปู่เจ้าเขาเขียว" นั่นเอง

ส่วนคนน้อง (ไม่ทราบพระนามเช่นกัน) ไม่ฝักใฝ่ทางโลก แต่ฝักใฝ่ทางธรรม ได้ออกผนวชเป็นพราหมณ์ฤาษีบำเพ็ญศีลภาวนาอยู่ ณ เขาเขียวอีกยอดหนึ่ง และเป็นผู้ประสิทธิประสาทวิชาการทั้งปวงให้แก่ราชวงศ์และพลเมืองของเมืองวังแก้ว

การปกครองในสมัยนั้นเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พลเมืองแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือทหารทำหน้าที่คุ้มครองป้องกันเมือง และพลเมืองมีหน้าที่เป็นคณะปุโรหิต และทำหน้าที่อื่นตามแต่เจ้าเมืองจะมอบหมาย  องค์อินอธิราชเป็นกษัตริย์ที่มีน้ำพระทัยเปี่ยวด้วยความอ่อนโยนและเมตตาธรรม ดังนั้นราษฎรของเมืองวังแก้วจึงอยู่กันด้วยความร่มเย็นเป็นสุขและเจริญรุ่งเรือง  ในการว่าราชการ พระองค์ฯ ได้ตกแต่งถ้ำเป็นท้องพระโรงสำหรับว่าราชการ และเก็บพระคลังมหาสมบัติไว้ในถ้ำ รวมทั้งเป็นที่ประทับส่วนพระองค์และราชวงศ์ องค์อินอธิราชมีพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียว พระนามว่า "องค์หญิงอุมาเทวี"

ปู่เจ้าเขาเขียว ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์
เมื่อองค์อินอธิราชมีพระชนมายุได้ 50 พรรษาเศษ และองค์หญิงอุมาเทวี มีพระชันษา 16 พรรษา ปู่เจ้าเขาเขียว ได้กระทำปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์แทน เป็นอันว่าสิ้นสุดราชวงศ์องค์อินอธิราช และสิ้นสุดเมืองวังแก้ว พร้อมถ้ำที่ประทับทั้งปวงของเมืองวังแก้วได้ถูกปิดตายตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

เมืองมินต์
ปู่เจ้าเขาเขียวได้ตั้งนามเมืองของพระองค์ใหม่ว่า "เมืองมินต์" พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ครองเมือง  การปกครองเมืองของพระองค์ก็ได้ใช้ถ้ำเป็นท้องพระโรงว่าราชการ เก็บพระคลังมหาสมบัติ และเป็นที่ประทับของพระองค์และราชวงศ์ คล้ายคลึงกับที่องค์อินอธิราชได้ปฏิบัติมา แต่เป็นคนละสถานที่กัน

ปู่เจ้าเขาเขียวเป็นกษัตริย์ที่มีน้ำพระทัยแตกต่างจากองค์อินอธิราช กล่าวคือพระองค์มีพระทัยดุ เหี้ยมหาญ เด็ดขาด เป็นที่คร้ามเกรงของอริราชศัตรู ปู่เจ้าเขาเขียวมีพระมเหสี 4 องค์ มีพระราชโอรสหลายพระองค์ แต่ทรงมีพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวนามว่า

"องค์หญิงกวักศิรินภา"
ทรงพระศิริโฉมงดงามมาก มีเสน่ห์ทำให้เกิดความรักความเมตตาแก่ผู้ที่ได้พบเห็น กิตติศัพท์ความงดงามขององค์หญิงกวักศิรินภาเป็นที่เลื่องลือไปยังทั่วแคว้นแดนไกล แต่องค์หญิงกวักศิรินภา ต้องมาสิ้นพระชนม์ด้วยอุบัติเหตุเมื่อพระชันษาเพียง 15 พรรษา แต่กระนั้นก็ตามนามของ "นางกวัก" ก็ยังเป็นสัญญลักษณ์ของความมีเสน่ห์เมตตามหานิยม มาจนตราบเท่าทุกวันนี้ 

ที่มาของภาพ
http://www.dek-d.com/board/view.php?id=1835104
สละราชสมบัติถือศีลภาวนา
เมื่อปู่เจ้าเขาเขียวมีพระชนม์ย่างเข้าสู่ปัจฉิมวัย ได้มีน้ำพระทัยใฝ่ทางธรรมมะมากขึ้น  จนพระองค์ได้สละราชสมบัติถือศีลภาวนา และผนวชเป็นพราหมณ์ฤาษีจนเสด็จสวรรคต ในส่วนของเมืองมินต์ เมื่อปู่เจ้าเขาเขียวได้สละราชสมบัติแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดได้สืบราชสมบัติแทน โอรสและพระราชวงศ์ส่วนหนึ่งได้อพยพเข้าสู่ผืนแผ่นดินใหญ่สร้างบ้านสร้างเมืองขึ้นใหม่ ยังคงมีพลเมืองของเมืองมินต์ส่วนหนึ่งเท่านั้นที่มิได้อพยพไปไหน เป็นอันสิ้นสุดความรุ่งเรือของเมืองมินต์
ในช่วงต่อมาอีกไม่นานนัก เขาเขียวก็ประสบเคราะห์กรรม ได้เกิดวาตภัย อุทกภัย โหมกระหน่ำทำลายเขาเขียว จนบ้านเรือนพังพินาศ พลเมืองล้มตายลงหมดสิ้น เขาเขียวกลายเป็นป่าเขาที่รกชัฎ เต็มไปด้วยสิงสาราราสัตว์ เป็นสถานที่รกร้างไร้ผู้คน เป็นสถานที่สงบเหมาะสำหรับบำเพ็ญเพียรของฤาษีชีไพรเท่านั้น

บทสรุป
จากอดีตที่เคยรุ่งเรืองของเขาเขียว ที่ที่เคยเต็มไปด้วยผู้คนพลเมืองมากมาย มีความเกี่ยวพันและวิถีชีวิตที่ต้องต่อสู้ดิ้นรน แก่งแย่งแข่งดี อาฆาตพยาบาท เสียงกู่ก้อง ร้องตะโกน เสียงร่ำไห้จากสงคราม ความพลัดพราก เศร้าโศก ความรัก ความอาลัย พร้อมทั้งแรงอธิษฐานและคำสาบาน ทุกอย่างต้องจบลงที่นี่ โศกนาฎกรรมเกิดขึ้นหลายหนหลายครั้งจนเขาเขียวกลายเป็นที่รกร้างไร้ผู้คน

ดวงจิต ดวงวิญญาณนับร้อยนับพันดวง ยังผูกพันและหวงแหนอยู่กับเขาเขียว ยังคงเฝ้าวนเวียนปกปักรักษาเขาเขียวซึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยอันอบอุ่นของเขาในอดีต สถานที่ที่เคยมีบุคคลที่เขารักยิ่ง องค์อินอธิราช ปู้เจ้าเขาเขียว เคยปกครองคุ้มครองดูแล ซึ่งสิ่งเหล่านี้จึงเป็นต้นกำเนิดแห่งความลี้ลับ  ความศักดิ์สิทธิ์ ความมหัศจรรย์ของเขาเขียวจนตราบเท่าทุกวันนี้

เขาเขียวยังมีอดีตและประวัติศาสตร์ที่รอการพิสูจน์อยู่  สักวันหนึ่งเมื่อเราได้ค้นพบหลักฐานแห่งอารยะธรรมของเขาเขียวแล้ว ก็จะเป็นเครื่องยืนยันอย่างแท้จริงว่า คนไทยไม่ได้อพยพมาจากที่ีใด คนไทยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ดั้งเดิม และดินแดนเขาเขียวแห่งนี้แหละคือต้นประวัติศาสตร์ชาติไทย 

ราชาแห่งวังแก้ว        องค์อิน
ราชันย์คู่เมืองมินต์    ปู่เจ้า
เคยครองผืนแผ่นดิน    นามเขา  เขียวเฮย
สองพระองค์ท่านเฝ้า    ปกป้องรักษา

เวลาลุล่วงพ้น     นานนัก
ถึงสองเมืองนี่จัก   ล่มแล้ว
หากแต่คำทายทัก   ยังคง  อยู่เฮย
เมืองมินต์อีกวังแก้ว   จักฟื้นคืนคง

เชิญองค์  ปู่เจ้า เขาเขียว
ธิดา  องค์เดียว  ชื่อก้อง
องค์อิน  อธิราช  เรืองรอง
คุ้มครอง  พลิกคืน  ฟื้นเมือง

*******************************************

ที่มา
คำรณ  แพงไพรี. (2546). ประวัติเขาเขียว อ.โพธาราม จ.ราชบุรี : การประชุมวิชาการองค์การเกษตรกรในอนาคตแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ภาคกลางครั้งที่ 25. สถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 1 : วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีราชบุรี. (หน้า 43-45)
อ่านต่อ >>

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สืบสานตำนานข้าวแช่มอญ วัดบ้านหม้อ

ตำนานข้าวแช่ 
 แรงบันดาลใจที่ทำให้ข้าพเจ้า เขียนเรื่อง ข้าวแช่ ขึ้นมาในช่วงเวลานี้ ก็เพียงอยากระลึกถึงวัน เวลา...ที่เคยได้ร่วมทำข้าวแช่ กับแม่...เมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่ ภาพความทรงจำทุกขณะ ปรากฎเด่นชัด  และเมื่องานบุญเข้าพรรษาที่ผ่านมา...ท่านพระครูที่วัดยังถามมาว่า ..สงกรานต์ปีหน้าจะมีข้าวแช่ออกมาวัดคนแรกอีกหรือเปล่า เพราะแม่จะนำข้าวแช่ใส่กระจาดหาบ ไปถึงวัดก่อนอรุณรุ่งทุกปี ทำให้ข้าพเจ้าอยากจะส่งความรู้สึกนี้ ไปถึงอีกหลาย ๆคน ที่จะช่วยกันบอกเล่าเรื่องราวของข้าวแช่ตำรับมอญของบ้านเรา และพาตัวเองกลับไปสู่บรรยากาศ  ที่อบอุ่นนั้นอีกสักครั้ง  
การทำกับข้าวในแต่ละท้อง ถิ่น แต่ละชุมชนก็แตกต่างกันออกไป  ตามสภาพความเป็นอยู่  แต่ก็ยังคงมีกรอบวัฒนธรรมเคร่งครัดในประเพณี  ที่ติดมากับขนบธรรมเนียมของชาวมอญเรา ที่ยึดถือและปฎิบัติสืบต่อกันมาโดยเฉพาะการทำบุญ  ดังมีคำกล่าวที่ว่า.....หน้าร้อน...กินข้าวแช่    หน้าฝน....กินข้าวมัน    หน้าหนาว......กินข้าวหลาม และทุกวันนี้ ก็ยังคงสืบทอดกันต่อมา รุ่นต่อรุ่น

 ข้าพเจ้าต้องขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่า สิ่งที่ได้เขียนเรื่องราวเหล่านี้ อาจจะไม่เหมือน หรือแตกต่างกันไป  ผู้รู้ทุกท่านช่วยชี้แนะ ก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง
จำได้ว่าสำหรับชาวมอญแล้ว เทศกาลสงกรานต์ เป็นเทศกาลที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะถื่อว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามโบราณ และยังถือสืบต่อกันมา การเตรียมงานนับเดือน ทำความสะอาดบ้านเรือน เตรียมเสื้อผ้าใหม่ และอาหารคาวหวานสำหรับทำบุญตักบาตร ซึ่งก็จะอยู่ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๗ เมษายน ของทุกปี ช่วงเช้าทำบุญตักบาตร  ไหว้พระสวดมนต์ สมาทานศีล ช่วงบ่ายจัดให้มีการสรงน้ำพระพุทธรูป  สรงน้ำพระสงฆ์ และบังสุกุลอัฐฐิปู่ย่าตายาย ปล่อยนก ปล่อยปลา ค้ำโพธิ์ (ถ้าวันสงกรานต์ตรงกับวันเกิดของใคร ต้องไปค้ำโพธิ์) ก็จะเป็นสิริมงคลกับตังเอง เช่นวันสงกรานต์ตรงกับวันพุธ ที่เกิดวันพุธต้องไปทำพิธีเอาไม้ไปค้ำต้นโพธิ์  เป็นต้น
อาหารมอญ  ที่นิยมทำกันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ขนมกะละแม  ทดสอบความอดทน  (บอกก่อนว่า หนุ่มสาว จะรอวันสงกรานต์อย่างใจจดใจจ่อ เพราะหนุ่มสาวจะมีโอกาสใกล้ชิดกันได้ เล่นถูกเนื้อต้องตัวกันได้ ไปมาหาสู่กัน บางบ้านก็ให้หนุ่มช่วยกวนกะละแมเสียเลย ใช้เวลาเป็นวัน ๆ

ข้าวแช่ หรือ ข้าวสงกรานต์ คนมอญจะเรียกว่า  เปิงด้าจก์ (เปิง แปลว่า ข้าว  ด้าจก์ แปลว่า น้ำ   เมื่อตอนเด็ก ๆ จะได้ยินแต่คำว่า ข้าวน้ำ  จะได้ลองลิ้มชิมรสก็ต่อเมื่อวันสงกรานต์เท่านั้น
ข้าวแช่ เป็นอาหารที่เกี่นวข้องกับพิธีกรรม มีขั้นตอนในการทำพิถีพิถันมาก ใช้เวลาในการจัดเตรียมเป็นเดือน ทั้งน้ำที่จะเป็นน้ำอบ ต้องรอจากฝนกลางแจ้งมาเก็บไว้ (สมัยนี้ใช้น้ำต้มสุกก็ได้) ต้องตำรำข้าวใหม่ ๆ ขี้ผึ้งที่ได้มาจากน้ำผึ้งเดือน    ๕  นำมาเผาบนรำข้าวให้หอม ไว้อบน้ำ (สมัยนี้ใช้เทียนหอมสำเร็จรูป)ปลาแห้ง ต้องเป็นปลาช่อนนา ตัวโต ตากแดดเก็บไว้ เหล่านี้เป็นต้น
การทำข้าวแช่ สืบเนื่องมาจากตำนานสงกรานต์ของมอญ  ข้าพเจ้าเคยได้เห็นตำนานนี้ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม  เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๒๑ พี่พาไปเที่ยววัดพระแก้ว ก็เลยไปวัดนี้ด้วย  พี่พูดภาษามอญได้ อ่านภาษามอญได้ ก็รู้ว่าเป็นตำนานของ ข้าวแช่  ความว่า
มีเศรษฐีผู้หนึ่งไม่มีบุตรธิดา ทำการบวงสรวงต่อเทวดา ฟ้าดิน พระอาทิตย์ พระจันทร์ กาลเวลาล่วงเลยไป ๓ ปี ก็ยังไม่มีบุตร อยู่ต่อมาเป็นวันในคิมหันตฤดูฝน คนทั้งหลายเล่นนักขัตฤกษ์ต้นปีใหม่ พระอาทิตย์ก็มาสู่เมษราศี   เป็นวันมหาสงกรานต์ เศรษฐีได้พาบริวารไปยังโคนต้นไทรใหญ่ริมน้ำอันเป็นที่อยู่ของรุกขเทวดาทั้งหลาย และได้นำข้าวสารล้างน้ำถึง ๗ ครั้ง แล้วหุงบูชารุกเทวดาประจำพระไทรนั้น
 ตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร   และรุกขเทวดาพระไทรนั้นก็เมตตา ให้เทพบุต รคื่อ(ธรรมบาลกุมาร)มาเกิดเป็นบุตรของเศรษฐีสมความปรารถนา

ครั้นต่อมา ชาวมอญมีความเชื่อว่า หากได้กระทำพิธีเช่นว่านี้ บูชาต่อเทวดา ในเทศกาลสงกรานต์แล้ว
สามารถตั้งจิตอธิษฐาน ขอสิ่งใดจะได้ดังหวัง  ข้าวแช่จึงเป็นส่วนหนึ่งของการเซ่นไหว้เทวดาด้วย

วิธีการปรุงข้าวแช่   เริ่มจากการทำน้ำอบ  จะใช้น้ำฝน หรือใช้น้ำต้มสุกก็ได้ ใส่ลงในหม้อดิน สำหรับบ้านของข้าพเจ้า มีหม้อดินโบราณ เป็นมรดกตกทอดสมัยปู่ย่ามา นำขันเล็ก ๆแล้วใส่รำข้าวที่เตรียมไว้ จุดขี้ผึ้งที่ปั้นใส่ด้ายแบบไส้เทียนจุดให้ไฟลุก ดอกกระดังงาลนไฟให้หอม นำมาใส่ลงไปในขันด้วย แล้วดับไฟ ปิดฝาหม้อด้วยผ้าขาวบาง อบไว้เช่นนั้น  (ลืมบอกไปว่า น้ำที่นำมาอบนั้น ให้ลอยดอกมะลิให้หอมก่อน ก่อนนำมาอบเทียน) พอมาถึงสมัยนี้ ใช้เที่ยนหอมอบได้เลย


หม้อดินสำหรับใช้อบน้ำข้าวแช่มอญ      
อาหารที่นำมารับประทาน ที่แม่เคยทำเป็นประจำทุกปี ก็จะมีประมาณ ๗-๘ อย่าง บางชุมชนก็จะมากน้อยแตกต่างกันออกไป จะใช้เวลาเตรียมอาหารข้าวแช่ก่อนวันสงกรานต์ ๑ วัน คือบ่ายวันที่ ๑๒  จะมีปลาแห้งป่น หมูหวาน (บางนจะใช้เนื้อวัว ) หอยแมลงภู่ผัดหวานผักกาดผัดไข่ (หัวไชโป้) ยำมะม่วง ยำขนุน กระเทียมดอง ก๋วยเตี๋ยวผัด ไข่เค็ม


การหุงข้าว  เริ่มตั้งแต่คัดข้าวสารเมล็ดสวย จำได้ว่า เมื่อก่อนนี้ สีข้าวเอง ตำข้าวเอง โดยใช้ครกไม้ ที่ใช้ตนไม้ทั้งต้นมา ขุดเป็นครก สีข้าวเป็นสีโบราณที่พ่อทำขึ้นเอง เสียดายที่พังไปหมดแล้ว  สีข้าวเปลือกแล้ว จะได้ข้าวกล้อง ก็นำข้าวกล้องมาตำ ใช้สากลุมพุก (ไม่ทราบว่าเรียกถูกหรือเปล่า) ตำ ๒ คนผลัดกันขึ้นลง นับไปเลย ลงสากคนละ ๒๐๐ ที ข้าวก็จะขาวเป็นข้าวสารที่นำมาหุงได้ แม่ก็จะเลือกข้าวเม็ดสวย ไม่หัก จะใช้กระด้งฝัดเอารำออก จะได้รำละเอียด (ไปอบน้ำ) รำหยาบไว้เลี้ยงหมู เลี้ยงเป็ด ได้ปลายข้าวไว้ทำขนมจีน แม่จะให้ใช้กระด้ง กระทายข้าว การกระทาย เป็นการคัดเลือกข้าวเม็ดสวยออกจากข้าวที่หัก  จากนั้นก็นำมาซาวน้ำ ประมาณ ๗ ครั้ง ให้สะอาด ในการหุงข้าวนั้นต้องตั้งเตาไฟในที่โล่ง และต้องอยู่นอกชายคาบ้าน การหุงเป็นการหุงแบบเช็ดน้ำ ต้องหมั่นคอยคนให้สุก ไม่เป็นไต ยกลงจากเตา นำไปล้างน้ำสะอาดหลายครั้ง  เพื่อเอายางข้าวออกแล้วนำไปใส่ในกระบุง โดยเอาผ้าขาวบางรองอีกที เป็นอันเสร็จขั้นตอนการหุงข้าว  (บางที่แม่ก็จะใส่ใบเตยลงไปในหม้อข้าวด้วย เพื่อความหอม)

ขั้นตอนการทำกับข้าว  อันดับแรกปลาแห้งป่น บอกเลยว่าทำยากที่สุด  ต้องนำปลาที่ตากแห้งไว้มาย่างไฟอ่อน ๆ พอสุก แล้วเอามาแกะเอาแต่เนื้อ แม่ใช้ครกตำเลย ให้เนื้อปลาฟู
หัวกะทิตั้งไฟให้เดือด ต้องหมั่นคนไม่ให้แตกมัน ตำกระเทียมที่แกะเอาแต่เนื้อ พริกไทยเล็กน้อย บางบ้านก็ไม่ใส่พริกไทย  ก็แล้วแต่ความชอบ  แต่บ้านเราใส่ด้วย เพราะเราเป็นคนตำเองแม่บอกว่าดับกลิ่นคาวปลา  นำส่วนประกอบทั้งหมดลงผัดในกระทะ โดยใช้ไฟอ่อน   ผัดไปเรื่อย ๆจนเนื้อปลาจับกับกะทิ ก็ใส้น้ำตาบปี้บ ชิมรสหวานนำ เค็มตามมา ความเค็มไม่ต้องใส่เกลือก็ได้ เพราะปลามีความเค็มในตัวอยู่แล้ว เมื่อได้รสชาดตามต้องการ  นำลงจากเตาพักไว้
ให้เย็น โรยหน้าด้วยใบมะกรูดหั่นฝอย ตามด้วยพริกแห้ง (พริกเม็ดใหญ่ตากแห้ง เอาเม็ดออกซอยละเอียด ไว้โรยหน้ากับข้าว เพิ่มสีสรรความสวย  ก็เป็นอันเสร็จไป ๑ อย่างแล้ว ใช้เวลาประมาณครึ่งวัน
  ๒.เนื้อเค็ม (หมูหวาน) บางท้องถิ่นใช้เนื้อวัว แต่บ้านเราที่วัดบ้านหม้อนี้ ใช้เนื้อหมู วิธีทำก็คล้าย ๆกับปลา คือเอาเนื้อหมูมาทำหมูเค็ม ตากแดดเก็บไว้ก่อน จากนั้น เอามาย่างไฟพอสุก
ฉีกฝอย ที่บ้านเราก็ใช่ครกตำเช่นเดิม เนื้อจะฟูไม่แข็ง  วิธีการทำก็เหมือนกับปลาทุกอย่าง

 ๓.หอยแมลงภู่ เช่นกัน ก็นำหอยแมลงภู่ตากแห้ง เลือกที่ตัวใหญ่ เพราะเวลาผัดแล้วจะหด นำมาล้างให้สะอาด เอาใยออกให้หมด มาลวกน้ำร้อนดับกลิ่นคาวเสียก่อน บีบน้ำให้แห้ง การผัดก็เหมือนกับปลาและหมู  ข้อระวังในการผัดหอย ต้องค่อย ๆผัด หรือกลับ ถ้าผัดแรง หอยจะแหลกไม่เป็นตัว ไม่สวยในการจัดสำรับอาหาร
๔.หัวไชโป้ผัดไข่  คราวนี้ไม่ใช้กระเทียม ใช้หอมแดงแทน เวลาปอก ก็ร้องไห้ไปด้วย แม่บอกว่าถ้าออกเรือนไปจะแพ้แม่สามี  วิธีแก้ให้ใช้ก้านไม้ขีดเหน็บหู น้ำตาจะไม่ไหล  หัวไชโป้ก็ที่เจ็ดเสมียนเท่านั้น เลือกเอาหัวใหญ่ มาหั่นซอยตามแนวขวางบาง ๆ แล้วล้างน้ำให้สะอาด
ตั้งหัวกะทิให้เดือดใส่หอมแดงซอยลงไป ใส่หัวไชโป้ลงในหม้อ เคี่ยวไฟอ่อนไปเรื่อย ๆจนกะทิ
จวนแห้งใส่น้ำตาลลงไป หวานนำกลมกล่อม โรยหอมแดงอีกครั้ง   เกือบลืมต้องใส่ไข่ด้วย โดยตอกไข่ตีให้ละเอียดราดลงบนหัวไชโป้ในหม้อ รอไข่สุก คนให้เข้ากัน เป็นอันใช้ได้
๕.ยำขนุน รายการนี้จะขาดไม่ได้เลย ในสำรับข้าวแช่ของชาวเรา เพราะถือกันว่าเป็นอาหารมงคล คงเป็นเพราะชื่อด้วยกระมัง  มีคนหนุนนำ จำได้ว่าแม่ให้เอาพริกหอมเม็ดใหญ่  (พริกแห้ง) หอม กระเทียม เผาไฟ เรียกว่าพริกเผา หอมเผา  แล้วนำขนุนดิบที่ไม่แก่ มาฝานเป็นแว่น
ปอกเปลือกออก นำไปต้มให้สุก แล้วนำมาฉีก พักไว้ก่อน เอามะพร้าวที่ขูดเตรียมไว้ มาคั่วให้หอม ระวังอย่าให้ไหม้  ส้มโอที่แกะเอาไว้ พร้อมทั้งกุ้งแห้งคั่วสุก เครื่องปรุงพร้อมแล้ว ก็ลงมือยำเลย เอาพริกเผา หอมเผา มาโขลกพอหยาบ ใส่ในขนุนที่เตรียมไว้คลุกเคล้าให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำปลาดี น้ำตาลเคี่ยวเติมความเปรี้ยวด้วยส้มโอ กลมกล่อมแล้ว ใส่มะพร้าวคั่ว กุ้งแห้ง
เพียงเท่านี้ ยำขนุนก็ขึ้นสำรับได้แล้ว
๖.ยำมะม่วง วิธีทำก็คล้ายกัน ถ้ามะม่วงเปรี้ยวก็บีบ หรือใช้เกลือคั้นเอาความเปรี้ยวออกก่อน
๗.กระเทียมดอ เวลาจะกินกับข้าวแช่ ก็แกะออกเป็นกลีบเล็ก ๆ จัดใส่ถ้วยในสำรับ
๘.ก๋วยเตี๋ยวผัด เส้นหมี่ผัด ชาวบ้านเราถือเป็นสิ่งดี เพราะเป็นเส้น เป็นสิ่งที่ยาวไกล เป็นมงคล
    และอาจจะมี ไข่เค็มยำ  ก็อยู่ในเมนูด้วยเช่นกัน
   เสร็จสรรพกับข้าว คราวนี้ต้องนำไปที่ใดบ้าง  มาดูการเดินทางของข้าวแช่กันเลย

อันดับแรก ต้องนำข้าวแช่ไปเช่นบวงสรวงเทพยดา ฟ้าดิน นางสงกรานต์ โดยทุกบ้านจะสร้างบ้านสงกรานต์ เราเรียกกันว่า ฮ๊อยซังกรานต์ เป็นศาลเพียงตา สร้างชั่วคราวอย่างง่าย ๆ บริเวณลานโล่งหน้าบ้าน มักสร้างด้วยไม้ไผ่ อยู่ในระดับสายตา ความกว้างประมาณ ๑ ศอก สำหรับวางถาดอาหารได้  พ่อจะใช้ผ้าขาวปูรองพื้น ผูกผ้าสี ตกแต่งด้วยดอกไม้ ก็จะเป็นดอกสงกรานต์  (ดอกราชพฤกษ์ หรือดอกคูณ)
เราเรียกว่า ปะกาวซังกรานต และจะมีคำกล่าวถวายข้าวว่า อุกาสะ ๓ ครั้ง โต เทวโส ตันนัง กุสสังมยเคตัง เอหิ ตาน อาคัจฉันติ นิมันติปริภุญณโส เป็นอันเสร็จพิธีต้อนรับเทพีสงกรานต์ในปีนั้น

อันดับที่ ๒ นำไปให้ผีบ้านผีเรือน คือผีปู่ย่า ตายาย ที่เสาผีประจำบ้าน  ส่วนใหญ่คือเสาเอก  บ้านมอญจะมีห้อง สำหรับเก็บของ  โดยมีกระบุงใส่ต้นขาไก่ดำในกระบอกไม้ไผ่เล็ก ๆ ๙ กระบอก หีบบรรจุเสื้อผ้า แหวนพลอยสีแดง และหม้อดินใส่น้ำไว้ ภายในห้อง จะให้ลูกชายเป็นคนนำไปให้                                                

 อันดับที่ ๓ นำออกไปวัดเพื่อทำบุญถวายพระแต่เช้าตรู่  และใส่ปิ่นโตไปให้ญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือใกล้ชิด  และเลี้ยงคนที่มาเยี่ยมเยือนในเทศกาลสงกรานต์   ยังจำได้ว่า เมื่อครั้งก่อน พ่อเคยให้นำปิ่นโตบรรจุข้าวแช่ไปถวายพระที่ วัดคงคารามด้วย พ่อบอกว่าบรรพบุรุษอยู่ที่นั่น คงหมายถึงพระยามอญทั้ง ๗ ที่มีเจดีย์อยู่รอบ ๆ อุโบสถที่วัดนี้ด้วย

ข้อมูลเหล่านี้เขียนจากความทรงจำของข้าพเจ้าเอง ส่วนรูปภาพนำมาจากสงกรานต์ชาวมอญนครชุมน์
ต้องขอขอบคุณรูปสวย ๆ ที่ท่านลงไว้ให้ จึงขออนุญาตนำมาใช้อ้างอิง  ภาพอื่น ๆ เป็นภาพที่บ้านของข้าพเจ้าเอง   และยินดีที่รับคำแนะนำจากท่านผู้รู้เป็นอย่างยิ่ง
อ่านต่อ >>

วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เรื่องราวของชาวมอญโพธาราม





การที่ข้าพเจ้าบอกเล่าเรื่องราวของชาวมอญ ขึ้นมานี้ ข้าพเจ้าถือว่าเป็นหน้าที่ไม่ใช่งาน เป็นหน้าที่ของคนที่มีเชื้อสายมอญ ที่พึงควรกระทำ บทความต่าง ๆนี้ ข้าพเจ้าบอกเล่าในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดเชื้อสายของบรรพบุรุษ โดยอาศัยจากคำบอกเล่าของคนมอญเก่า ๆ จากบิดาของข้าพเจ้าเอง ประเพณีวัฒนธรรมของชาวมอญเคร่งครัด มีระเบียบแบบแผนในการใช้ชีวิต ความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยกรอบวัฒนธรรม ซึ่งตัวข้าพเจ้าเองได้อยู่ในกรอบนี้เช่นกัน
ก่อนจะพบเรื่องราวของชาวมอญ ชาติมอญนั้นอยู่ทางด้านตะวันตกของดินแดนสุวรรณภูมิ อยู่ใกล้กับประเทศอินเดียมากที่สุด ชาติมอญรับเอาอารยธรรมและศาสนาของอินเดียมาก่อนใคร เมืองพะโค หรือกรุงหงสาวดีที่สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราชท่ 1116 จึงเปรียบเสมือนประตูและสะพาน สำหรับถ่ายทอดวัฒนธรรมและอารยธรรม รวมทั้งพุทธศาสนา มาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิในปัจจุบัน
ชาวมอญไม่ไช่คนผิวดำแบบชาวอินเดีย แต่มีผิวค่อนข้างคล้ำ จมูกสั้น ใบหน้ากว้างและแบน อุปนิสัยอ่อนโยนและไว้ใจคนง่าย เป็นคนรักศิลปะ แต่ชอบอยู่เฉย ๆ รักสันโดษ ไม่เบียดเบียน ทำงานแต่เวลาจำเป็น
ชาวมอญลุ่มน้ำแม่กลอง ตามคำบอกเล่าของมอญรุ่นเก่า เล่าว่า ปลายกรุงศรีอยุธยา ต่อกรุงธนบุรีต้นสมัยรัตนโกสินทร์ชาวมอญได้อพยพมาทางด่านเจดีย์สามองค์ สืบเนื่องมาจากหัวหน้าชาวมอญที่หลบซ่อนพม่าอยู่ ทราบข่าวว่า พระเจ้ากรุงธนบุรีกู้เอกราชได้แล้ว จึงเข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร โดยติดต่อผ่านมายังเจ้าพระยารามัญวงศ์ ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเจ้านายเมืองมอญเมืองเมาะลำเลิงที่เหลืออยู่ ๗ คน ให้เป็นนายด่านป้องกันพม่า ๗ เมือง

เมืองด่านทั้ง ๗ คือ ไทรโยค ท่าขนุน ท่ากระดาน ท่าตะกั่ว ลุ่มสุ่ม สิงห์ และทองผาภูมิ (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดกาญจนบุรีทั้งสิ้น) มอญเรียกเจ้าเมืองทั้ง ๗ นี้ว่า เจี๊ยะเดิงฮ่ะเป๊าะ เจ้าเมืองทั้ง ๗ นี้ ล้วนแล้วแต่เป็นญาติกัน
ต่อมาชาวมอญญาติเจ้าเมืองทั้ง ๗ นี้ ทราบว่าญาติของตนได้เป็นเจ้าเมือง จึงได้อพยพตามเข้ามาอีก บางพวกก็อพยพไปอยู่ปากเกร็ด นนทบุรี ชาวมอญปากเกร็ดจึงมีการติดต่อพวกมอญลุ่มน้ำแม่กลองมาตลอด เพิ่งจะมาเลิกติดต่อกัน สมัยยุบเลิกคณะสงฆ์รามัญนิกายสมัยรัชกาลที่ ๖ นี้เอง พวกที่อยู่ไทรโยคเป็นพวกลำบาก เพราะที่ราบสำหรับการเพาะปลูกมีน้อย ส่วนมากเป็นป่าเขา จึงไม่มีที่ทำกิน หัวหน้ามอญท้ง ๗ เห็นความลำบากของญาติพี่น้อง จึงได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปหาเจ้าพระยารามัญวงศ์ และเจ้าพระยามหาโยธา เจ้าพระยาทั้ง ๒ จึงได้นำเข้าเฝ้ากราบถวายบังคมทูลขอพระราชทานที่ทำมาหากิน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้พระยามอญทั้ง ๗ เลือกที่ทำมาหากินเอาเอง โดยพระราชทานท้องตรามาให้ด้วย พระยามอญทั้ง ๗ จึงได้พาพรรคพวก ญาติพี่น้องล่องมาตามลำน้ำแม่กลอง ก็เห็นว่า พื้นที่เหมาะแก่การเพาะปลูก และมีคนอาศัยอยู่น้อย คือตั้งแต่เขตอำเภอบ้านโป่ง ถึง อำเภอโพธาราม ซึ่งในสมัยนั้นอำเภอทั้ง ๒ ยังไม่ได้เกิดขึ้น ส่วนพระยามอญทั้ง ๗ นั้น ก็ได้มา
ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่หมู่บ้านวัดคงคา (ปัจจุบันคือวัดคงคาราม ตำบลคลองตาคต อำเภอโพธาราม) ส่วนบรรดาญาติก็ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ ๒ ฝั่งแม่นำแม่กลอง ชาวมอญนั้นนับถือพุทธศาสนาอย่างศรัทธามาแต่เดิมแล้ว เมื่อมีที่ทำกินแล้ว ก็ต้องการที่ประกอบพิธีทางศาสนา พระยามอญทั้ง ๗ จึงได้ประชุมชาวมอญที่อพยพทั้งหมดโดยใช้วัดคงคารามเป็นศูนย์กลาง ซึ่งชาวมอญเรียกว่า เกี้ยโต้ หรือวัดกลาง จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็น วัดคงคาราม

ศูนย์รวมใจของชาวมอญ ลุ่มน้ำแม่กลอง เจดีย์ทรงมอญทั้ง ๗ องค์ รอบ ๆพระอุโบสถวัดคงคาราม ซึ่งเป็นตัวแทนของพระยามอญทั้ง ๗ นับว่าเป็นบรรพบุรุษของชาวมอญในโพธารามและละแวกใกล้เคียงก็ว่าได้
เจดีย์ทรงมอญมีชื่อดังนี้

พระนิโครธาภิโยค เจ้าเมืองไทรโยค ต้นตะกูล นามสกุล นิไชยโยค พระไทรโยค มะมม
พระชินษณติษฐบดี เจ้าเมืองท่าตะกั่ว ต้นตระกูล นามสกุล ชินอักษร
พระปัณษณติษฐบดี เจ้าเมืองท่าขนุน ต้นตระกูล นามสกุล หลักคงคา
พระพลติษฐบดี เจ้าเมืองท่ากระดาน ต้นตระกูล นามสกุล ตุลานนท์
พระนินษณติษฐบดี เจ้าเมืองลุ่มสุ่ม ต้นตระกูล นามสกุล นิลบดี / หลวงพันเทา
พระเสลภูมิบดี เจ้าเมืองทองผาภูมิ ต้นตระกูล นามสกุล เสลานนท์ / เสลาคุณ
พระสมิงสิงคิบุรินทร์ เจ้าเมืองเมืองสิงห์ ต้นตระกูล ธำรงโชติ

เดิมที ที่ตั้งสองฝั่งแม่น้ำแม่กลองนี้เ ป็นที่ตั้งบ้านเรือนของชาวลาวเวียงจันทร์ ที่ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยครั้งสมัย พระเจ้ากรุงธนบุรี พระยามอญได้นำท้องตรามาให้ดูว่า พระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานที่ดินเหล่านี้ให้แก่ชาวมอญแล้ว ชาวลาวจึงถอยร่นออกไปอยู่บริเวณ วัดโบสถ์ วัดบ้านเลือก วัดบ้านสิงห์ วัดบ้านฆ้อง
วัดคงคาราม จึงเป็นวัดมอญวัดแรกของชาวไทรามัญ
วัดมอญรุ่นที่ 2 คือวัดใหญ่นครชุมน์ ในอำเภอบ้านโป่ง วัดนี้ยังคงอนุรักษ์ประเพณีดั้งเดิมของชาวมอญไว้ให้
ชนรุ่นหลังได้ศึกษา น่าสนใจมาก

วัดมอญรุ่ที่ 3 คือวัดป่าไผ่ วัดไทรอารีรักษ์ วัดเกาะ วัดบ้านหม้อ วัดโชค
(วัดตาผา วัดตาลปากลัด วัดหัวหิน วัดมาขาม วัดม่วงล่าง (พิพิธภัณฑ์ชาวมอญ) และ
โพธิ์โสภาราม ซึ่งวัดนี้จะมีงานของชาวมอญ ในวันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2553 )
วัดมอญรุ่นที่ 4 คือวัดหนองกลางดง วัดชำแระ วัดหุบมะกล่ำ วัดดอนกระเบื้อง และวัดเขาช่องพราน วัดนี้มีค้างคาวร้อยล้าน และยังเป็นวัดต้นตระกูล ปัณยารชุน อันเป็นเชื้อสายพระยามอญทั้ง 7 เหมือนกัน

คำบอกเล่าเหล่านี้ อาจจะไม่ตรงบ้าง ก็ขอคำแนะนำจากผู้รู้ เพราะข้าพเจ้าเป็นเชื้อสายชาวมอญรุ่นที่ 7 แล้วแต่ก็ยังอยากรู้ที่มาของตัวเอง และขอขอบคุณท่านที่แนะนำ



อ่านต่อ >>

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ตำนานของดีโพธาราม ไชโป๊วหวาน ถั่วงอก และน้ำปลา

เมื่อแรกมาเยือนโพธารามแล้ว ถามหาของฝาก หลายล้วนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ของดีโพธารามที่ขึ้นชื่อลือชาจนกลายเป็นสินค้าออกส่งไปขายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปนั้น มีอยู่สามอย่าง คือ ไชโป๊วหวาน ถั่วงอก และน้ำปลา ซึ่งล้วนมีกำเนิดมาจากชาวจีนที่พำนักอยู่ในโพธารามทั้งสิ้น

ไชโป๊วหวานของ ต.เจ็ดเสมียน อ.โพธาราม รสดี กินอร่อย มีวางขายอยู่ตามห้างร้านทั่วไป ไม่ต้องลำบากมาถึงที่นี่  แต่ไหนๆ เมื่อมาถึงถิ่นแล้วจะผ่านเลยไปก็ใช่ที่ เราจึงยกขบวนเข้าไปถึงแหล่งผลิตกันเลยที่เดียว

ไชโป๊วหวาน เจ้าเก่าแก่ของที่นี่ใช้ชื่อว่า "ไชโป๊วหวานแม่ฮวย" ซึ่งเป็นเจ้าตำรับพลิกแพลงเอาไชโป๊วดองเค็มแบบดั้งเดิม ที่คนแถวนี้ส่งปากคลองตลาดสมัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน มาทดลองดองหวาน จนกระทั่งติดตลาดและติดใจนักชิมทั้งหลาย มีทั้งแบบหัวใหญ่ แบบชิ้น แบบฝอย แบบแว่น แล้วแต่จะชอบแบบไหน ที่สำคัญคือ ด้านหลังห่อพลาสติกสวยสดสีเขียวสลับสีส้มนั้น ยังพิมพ์วิธีปรุงเอาไว้ให้ลูกค้าอีกด้วย

"แต่ก่อนแม่ทำดองเปรี้ยวด้วย ทำหลายอย่าง...แล้วแต่ฤดู แม่ทำหัวไชโป๊วปีละหน ตอนหลังราคาถูก เลยคิดดองหวาน แม่ทำกรอบประณีต สะอาด แรกๆ ทำในบ้านมี 20 กว่าโอ่ง ทำไปทำมาก็ขยายใหญ่ได้สัก 20 ปี เห็นจะได้ ลูกผู้หญิงสองคนจึงมาสานต่อ" พี่ติ๋ว ลูกสาวแม่ฮวยถ่ายทอดประวัติให้เราแทนแม่ซึ่งชรามากแล้ว พร้อมกับพาเดินทะลุไปด้านหลังร้าน

หัวไชโป๊วเค็มกองเท่าภูเขาเลากาที่เห็นอยู่ตรงหน้า เล่นเอาตะลึงไปชั่วขณะ คนงานหญิงที่ทราบภายหลังว่า ส่วนใหญ่เป็นแม่บ้านแถวนี้ ซึ่งมาหาลำไพ่พิเศษ กำลังสาละวนอยู่กับการฝาน ซอย สับ หัวไชโป๊วสีน้ำตาลกันอย่างขะมักเขม้น

"ไชโป๊วดองหวานเอาแบบดองเค็มมาทำ แต่ต้องทำให้เค็มกว่าปกติ ไม่งั้นมันจะเหนียว ไม่กรอบ ขั้นตอนการทำนั้น เรารับหัวไชเท้าสดมาจากบ้านโคกหม้อ บ้านกล้วย คลองยายคลัง ซึ่งเดิมเขาก็ปลูกกันอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เราออกทุนให้เขา จึงติดต่อกันเป็นประจำ พื้นที่ปลูกแถวนี้เป็นลูกไร่ของเราหมด ที่นี่ดินดี เป็นดินทรายระบบ และมีน้ำค้างมาก หัวไชเท้าจึงมีคุณภาพดี ถ้าใช้ผักที่อื่นอย่างนครสวรรค์ เมืองกาญจน์ ผักมันจะยุบง่าย เราก็ไม่เอา เว้นแต่ปีไหนผักน้อยก็ต้องอาศัยบ้าง"

"ได้ผักมาแล้วเทเกลือใส่ ไม่ต้องปอกเปลือก เช้าขึ้นก็ใส่เกลืออีก หมักไว้สองสามวัน แล้วใส่เกลือเพิ่มให้เยอะขึ้นก่อนถ่ายเก็บเข้าที่ พอจะใช้ก็ขนเอามาคัดขนาด แยกเป็นใหญ่ เล็ก จิ๋ว และอย่างไม่สวยซึ่งจะเอาเข้าเครื่องสับส่งโรงทำตั้งฉ่าย ที่เหลือเราต้องใช้มือทำหมด ตั้งแต่คัดเกรด ฝ้าหรือฝ่อก็ไม่เอา ถ้าทำอย่างหวานเอาหัวไชโป๊วที่เค็มออกมาล้างให้หมด แล้วแช่น้ำตาลทรายขาวล้วน ขัณทสกรกับสีนี่ไม่ใส่เลย ความกรอบอยู่ที่ผักธรรมชาติ อายุการรับประทานราวสามเดือน ถ้าเกินไปจะไม่อร่อย ผักจะนิ่ม หลังจากนั้นก็มีคนทำตาม ตอนนี้เราทำส่งอเมริกาด้วย"

เคล็ดลับความอร่อยจากการเลือกสรรแต่ของดีมีคุณภาพ ทำให้ชื่อเสียงไชโป๊วหวานแม่ฮวยขจรขจายไปไกล จนกระทั่งลูกสาวแม่ฮวยกระซิบกับเราว่า "...หม่อมถนัดศรีเขายังเคยมาชิม เอาไปออกทีวีด้วยนะ"

หากใครสงสัยเรื่องความสะอาด ฝาชีหลากสีครอบฝาโอ่งดองหวานที่เรียงรายอยู่คงเป็นเครื่องรับประกันความสะอาดของไชโป๊วที่นี่ และยิ่งเราเตร่เข้าไปใกล้ตัวแมลงที่บินเวียนอยู่ตรงบริเวณที่ใช้บรรจุถุง ก็พบว่า มันเป็นแมลงหวี่ตัวใหญ่ที่ชอบตอมขนมหวาน ห่าใช่เจ้าหัวเขียวที่นึกเอาไว้ในใจไม่

เมฆดำที่เริ่มก่อเค้าบังแดดบ่าย ทำให้เรารีบลาจากเพื่อไปตามหาแหล่งผลิตน้ำปลา ที่ว่ากันว่าทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน และส่งขายไปทั่วประเทศกันนับสิบเจ้าใกล้ๆ กับตลาดโพธาราม ก่อนจากมาเราหันไปมองตึกใหญ่ซึ่งเป็นทั้งที่อาศัยและโชว์สินค้า พร้อมกับแว่วเสียงคำพูดของลูกสาวแม่ฮวยว่า "ที่ได้มาทั้งหมดนี่ ก็เพราะไชโป๊วทั้งนั้นแหละ"

ฝนเม็ดหนากระหน่ำหนักลงมาแทบจะในทันทีที่ก้าวเข้าไปในโรงเรือนขนาดใหญ่ กลิ่นแปลกๆ ที่ลอยอวลขึ้นมาจากบ่อหมักหลายสิบบ่อ โชยมาเตะจมูก จนต้อวรีบควักผ้าเช็ดหน้ามาอุดกันวุ่นวาย ช่วยเร่งฝีเท้าของเราให้เข้าไปยังส่วนสำนักงาน

แทบไม่น่าเชื่อว่า เจ้าน้ำสีคล้ำในบ่อซีเมนต์ขนาดใหญ่มีขี้เกลือจับเขลอะอยู่ตรงขอบนั้น จะกลายมาเป็นน้ำปลารสดีสีน้ำตาลใสใช้ปรุงแต่งรสอาหารได้ คุณอดุลย์ ศิรประภาพงศ์ เจ้้าของโรงงานลิ้มเซ่งเฮง อธิบายให้เราฟังว่า บ่อที่เห็นอยู่นั้นผ่านการหมักมานานเกือบได้ที่ แต่กว่าจะได้น้ำปลารสดีออกมาบรรจุขวดขาย ต้องอาศัยเวลาตั้งแต่ปีครึ่งถึงสองปีเลยทีเดียว

"สมัยก๋ง มาจากเมืองจีน ยังไม่มีโรงน้ำปลา ก็มาเป็นลูกจ้างเขาทำโรงสีบ้าง ทำสวนบ้าง ตอนหลังเห็นมีปลาเยอะก็เริ่มทำ ปลาที่ใช้เป็นปลาสอย ปลาซิว ปลาน้ำผึ้ง ปลาตะเพียนก็ใช้ได้ แต่เอาตัวเล็กต้องไม่เกิน 2 นิ้ว ถ้าปลาตัวใหญ่มักแล้วไม่ย่อย"

"ก๋งทำแค่เล็กๆ ใช้ไหใช้โอ่ง มารุ่นเตี่ยถึงขยายเป็นบ่อหมัก แต่ก่อนชาวบ้านเขาจับปลามาขาย พอหน้าน้ำหลาก ปลามันเข้าไปวางไข่ตามทุ่งนา พอน้ำลด ปลาก็จะกลับ ก็ดักจับได้ทีละเป็นหมื่นๆ โล ตอนหลังปลาไม่มี เพราะเขาทำเขื่อน ไม่มีน้ำท่วม ตามทุ่งนาก็มียาฆ่าแมลงด้วย ปริมาณปลาเลยลด เดี๋ยวนี้โรงงานในโพธารามใช้ปลาทะเลทั้งหมด ถูกกว่ากันเยอะ วิธีหมักก็เหมือนกัน ใช้ปลาหนึ่งส่วน เกลือสองส่วน..ผมว่าปลาน้ำจืดทำน้ำปลาอร่อยกว่า เพราะไขมันสูงกว่า รสชาติดีกว่า"

"แต่ก่อนทำน้ำปลาแบบไม่ได้ปรุงแต่งอะไร รุ่นก๋งหมักได้แล้วก็กรองขายเลย ใส่ไหส่งขายจังหวัดใกล้ๆ ไหนี่ก็สั่งมาจากโรงโอ่งที่ราชบุรี พอรุ่นเตี่ยขยายไปส่งทางเหนือ ทางอีสาน ที่นี่คนจีนแต้จิ๋วเป็นคนทำ สมัยก๋งทำกันอยู่สี่ห้าโรง รุ่นเตี่ยขยายเป็น 10 กว่าโรง แต่ตอนนี้ย้ายไปเยอะเหลือแค่ห้าหกโรง เพราะลูกหลานหันไปประกอบอาชีพอื่น ถ้าทำก็ต้องมียี่ห้อของตัวเอง หาตลาดส่งด้วย ส่วนใหญ่ส่งภาคเหนือกับภาคอีสาน เพราะทางใต้เขามีทำกันอยู่"

เคล็ดลับความอร่อยของน้ำปลาโพธารามในอดีต คงเป็นเพราะการเลือกใช้ปลาน้ำจืดและคัดเอาแต่หัวปลา ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดของน้ำปลาแท้ออกส่งขายให้ลูกค้านั่นเอง น้ำปลาของที่นี่ขายดิบขายดีมีชื่อเสียงไปทั่ว แต่น่าเสียดายทุกวันนี้ โรงน้ำปลาในโพธารามทุกแห่งต้องหันมาใช้ปลากะตักจากทะเลมาหมักแทน เพราะมีปริมาณมากและหาได้ง่าย แถมยังมีราคาถูกกว่าพวกปลาซิวปลาสร้อย

ปัจจุบันโรงงานน้ำปลาแต่ละแห่งไม่ได้ผลิตน้ำปลาเกรดดีอย่างเดียวเหมือนในอดีต หากติดฉลากหลากหลายยี่ห้อ เพื่อสนองตามความต้องการของตลาดและฐานะของผู้บริโภค ขวดที่ติดฉลากว่า น้ำปลาแท้ คือ น้ำปลาชั้นหนึ่ง กรองเอาหัวน้ำปลามาบรรจุขวด รองลงมาคือน้ำปลาผสม ซึ่งมีราคาย่อมเยากว่า เพราะเอาหัวน้ำปลามาเจือน้ำเปล่าเพื่อลดความเข้มข้น แล้วปรุงแต่งรสให้ใกล้เคียงกับน้ำปลาแท้ สุดท้ายที่ราคาถูกกว่าใคร คือ น้ำเกลือปรุงแต่งรส เติมสีสันให้คล้ายของจริง ไม่มีวางขายตามห้าง แต่มักไปโผล่อยู่ตามร้านค้าต่างจังหวัด และเมื่อถามถึงน้ำปลาเทียมที่ได้ยินข่าวลือมาว่าใช้น้ำกระดูกสัตว์ใส่สีหลอกขายนั้น คำตอบที่ได้รับทำเอาโล่งอกไปได้มากทีเดียว

"น้ำปลาคือเลือดกับเนื้อปลาที่ย่อยสลาย ที่ว่าผสมกระดูกสัตว์รับรองได้ว่าไม่มีแน่นอน เพราะไม่มีเลือดไม่มีเนื้อ อย่างมากที่ทำกันอยู่ก็คือ น้ำเกลือผสมสี แต่ก็ไม่ทำกันเท่าไหร่ เพราะทำแล้วไม่คุ้มทุน ค่าแรงอะไรก็ต้องเสียเท่าน้ำปลาดี สู้ทำน้ำปลาดีไปเลยดีกว่า"

คนซื้อน้ำปลาจะดูสีไม่รู้หรอก ต้องดมกลิ่น กลิ่นมันฟ้อง รสก็พิสูจน์ได้ น้ำปลากับน้ำเกลือรสไม่เหมือนกัน ความหอมต่างกัน น้ำปลาแท้ถ้าเก็บไว้ในขวดนานๆ สีไม่เปลี่ยน เว้นแต่เปิดขวดใช้แล้วเขย่า อากาศจะเข้าไปทำปฏิกิริยาให้สีน้ำปลาเข้มขึ้น แต่ไม่เสีย"

เถ้าแก่กล่าวทิ้งทายก่อนจะหันหลังไปหยิบขวดน้ำปลาหลากยี่ห้อที่ล้วนผลิตจากโรงงานแห่งนี้มาให้เราดู

ภาพของชายหนุ่มร่างกำยำจำนวนนับสิบที่ยืนแช่น้ำก้มหน้าก้มตาแกวางตะแกรงร่อนบางสิ่งอยู่ริมฝั่งแม่กลองตรงหน้าเขื่อน ตลาดเมืองโพธารามในยามโพล้เพล้ สร้างความสงสัยให้คนต่างถิ่นอย่างเราไม่น้อย ต่อเมื่อเดินเข้าไปใกล้แล้ว นั่นแหละจึงหายข้องใจ เพราะกิจกรรมที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านั้น คือ มหกรรมการล้างถั่วงอกจำนวนนับพันกิโลกรัมเพื่อเตรียมส่งไปขายในกรุงเทพฯ ให้ทันตอนเช้ามืด ภาพถั่งงอกลำต้นยาวขาวสะอาดที่บรรจุเรียบร้อยในถุงพลาสติกใบใหญ่ รอการขนถ่ายขึ้นรถ ดูจะแตกต่างจากที่เคยได้ยินมาว่า เอกลักษณ์ของถั่วงอกโพธารามนั้นต้องมีลำต้นอวบสั้น ต่างจากที่อื่นจนเห็นได้ชัด เมื่อสอบถามความเป็นมาเป็นไป ก็ได้รับคำยืนยันว่า ที่เห็นอยู่นี้เป็นถั่วงอกเมดอินโพธาราม หาใช่ถั่วงอกจากที่อื่นเอามาล้างย้อมแมวขายไม่ แต่เป็นเพราะเหตุใดหน้าตาถึงเปลี่ยนไปเช่นนี้

คุณยายเฮงเลี้ยง  แซ่อึ้ง เจ้าถั่วงอกเก่าแก่ของโพธารามขยายความให้ฟังว่า แต่ก่อนนั้น ถั่วงอกโพธารามมีลำต้นอวบอ้วนอย่างที่เขาร่ำลือ และไม่ได้เพาะในปี๊บอย่างที่เห็น แต่ลงไปเพาะตามหาดทรายริมน้ำแม่กลองในยามที่น้ำลดระดับลง ยิ่งในฤดูแล้ง ราวเดือนธันวามคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี น้ำจะแห้งจนเกิดเป็นหาดทรายกว้างบริเวณหน้าเมือง ถึงขนาดสามารถลงไปจัดงานประจำปีที่เรียกว่า "งานหาดทรายโพธาราม" กันกลางหาดได้เลยทีเดียว

"แต่ไม่ได้ลงไปเพาะถั่วงอกกันกลางหาดหรอกนะ ทำอยู่ตรงชายๆ เดี๋ยวเขามาเหยียบหมด...ถั่วงอกมีชื่อของที่นี่คือ ถั่วงอกทราย เวลาเพาะต้องขุดหลุมทรายแล้วเหยียบให้มันแน่นๆ ถ้าขุดตรงที่สูงก็ต้องให้ลึก คือให้มีน้ำอยู่ใต้ทรายเพื่อให้รากดูดได้ กรรมวิธีเพาะนั้นต้องแช่ถั่วล้างน้ำให้เกลี้ยง นำไปหวายแล้วกลบทรายให้มิด เหยียบให้แน่น ถั่วมันดันไม่ขึ้นก็อ้วนสั้น เพราะทรายมันมีน้ำหนัก ทำปี๊บใสชี้เถ้าแกลบเพาะมันแห้ง ไม่มน้ำหนัก อ้วนสู้หาดทรายไม่ได้"

"สมัยก่อนที่หาดมีแต่หลุม เพาะถั่วงอกกันเยอะ หลุมใครหลุมมัน รู้กัน เพราะลักษณะหลุมไม่เหมือนกัน ถั่วงอกขุดขึ้นมาก็ไม่เหมือนกัน ของยายทำหลุมสี่เหลี่ยมใหญ่เป็นเมตร ได้เป็น 100 กิโล เพาะทุกวัน ถึงเวลาก็ไปขุดดูว่าต้องรดน้ำหรือเปล่า สามวันก็ขุดขึ้นมาล้างขายได้ เราใช้สามหลุม ขุดสลับกันไปทุกวัน เช้าขุดหลุม เย็นก็ไปเพาะ แต่ต้องไม่ใช่หลุมเดิม ขุดเอาใหม่ ถ้าจะกลับไปใช้หลุมเก่าต้องให้ผ่านไปเดือนนึงเพื่อให้เชื้อมันหมดก่อน ถ้าเพาะซ้ำมันจะเน่า เพราะมันมีเศษถั่วงอกค้างอยู่ก้นหลุม"

"แต่ก่อนทำกันเจ็ดแปดเจ้า ขายในตลาดนี่แหละ แต่ก็ส่งกรุงเทพฯ ด้วย เดี่ญวนี้ที่ล้างกันอยู่ริมน้ำเป็นเจ้าใหม่ๆ ทำส่งเป็นพันๆ กิโล ทำกันมา 10 กว่าปีแล้ว ส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างมาก่อนแล้วออกไปทำเอง ถั่วงอกเพาะปี๊บดีสู้เพาะในหาดไม่ได้ แต่ถั่วงอกโพธารามก็ดีกว่าที่อื่น ส่วนใหญ่ส่งขายกรุงเทพฯ บางทีเขาก็มารับกันถึงที่ ตรงที่ล้างกันนั่นแหละ"

"เดี๋ยวนี้ ถั่วงอกหวานกรอบ เพราะแช่สารส้มก่อนเป็นน้ำสุดท้าย แช่มากก็ไม่ได้ มันจะฝาด แต่สมัยยายทำหาดทรายล้างแล้วส่งเลย ไม่ต้องแช่ รสดีกว่ากันเยอะ หวานกรอบอร่อยจริงๆ เดี๋ยวนี้ ต้องเพาะถั่วงอกให้ยาว ไม่งั้นทุนไม่คืน เพราะขี้เถ้าแกลบก็ต้องซื้อจากโรงสีแถวสุพรรณฯ สมัยก่อนเขาให้เลยฟรีๆ แล้วไหนจะค่าน้ำค่าไฟอีก ถั่วเขียวกิโลละ 20 บาท ลูกจ้างล้างคืนหนึ่งตั้ง 150 บาท ต้องใช้หลายคน ของยายคืนนึง 30-40 ปี๊บ ปี๊บนึงล้างแแล้วได้ถั่วงอก 10 กิโล ใช้ถั่วดิบ 2 กิโลมาเพาะ"

คุณยายบ่นให้ฟังถึงความยากลำบากของการเพาะถั่วงอก เมื่อต้องย้ายจากหาดทรายมาเพาะกันในโรงเรือน แถมยังสำทับอีกว่า ถ้าใครเพาะถั่วงอกขายก็ต้องดูแลประคบประหงมอย่างดียิ่งกว่าลูกเลยทีเดียว เพราะต้องคอยเฝ้าดูไม่ให้ถั่วงอกขาดน้ำ ส่วนเคล็ดลับที่ทำให้ถั่วงอกมีสีขาวนั้น คุณยายบอกว่าอยู่ที่การเลือกซื้อถั่วเขียว

"ต้องเลือกที่เป็นเปลือกเขียว ถ้าเปลือกแดงถั่วงอกจะออกมาแดง แต่ถั่วเดี๋ยวนี้เอามาเพาะยาก เขาเร่งปุ๋ย เร่งยา เราจึงต้องใส่ยาเร่งให้งอกด้วย ไม่งั้นไม่ยาว ไม่อ้วน ขายไม่ออก"

พอเราย้อนถามถึงถั่วงอกหาดทรายว่า จะพอหาซื้อกลับไปกินได้จากที่ไหน คุณยายหัวเราะร่วนพร้อมกับกล่าวว่า "เลิกทำมาตั้งแต่ปี 20 โน่นแหละ จะเอาหาดที่ไหนทำ ทรายมันหมด เขาดูดเอาไปขายจนไม่เหลือหาดให้เพาะถั่วงอกแล้ว" 

ที่มาข้อมูล
-สุดารา สุจฉายา. (2541). ของดีโพธาราม. ราชบุรี. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สารคดี. (หน้า 292-295)

ที่มาของภาพ
-http://www.oocities.com/thailanding/rachaburi/04.jpg
-http://i287.photobucket.com/albums/ll150/momo7301/my%20toys/meeting/023.jpg
-http://i174.photobucket.com/albums/w117/Freedom_on_my_way/06-09_10_2550%20Hat%20yai%20-%20Padang%20besar/P1030969-01.jpg
-http://gotoknow.org/file/pentiva_38/tua14.JPG
อ่านต่อ >>

วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ตลาดเก่า 119 ปี เจ็ดเสมียน

หนึ่งเดียวตลาดวัฒนธรรมเมืองราชบุรี ตลาดเก่า 119 ปี เจ็ดเสมียน


ประวัติความเป็นมา
ตลาดริมทางรถไฟที่เคยเจริญรุ่งเรือง ในอดีตเคยเป็นอำเภอมาก่อน เรียกว่า "อำเภอเจ็ดเสมียน" ได้ย้ายไปตั้งที่ตำบลโพธาราม อำเภอโพธาราม เมื่อปี พ.ศ.2438

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงประพาสต้นที่ตลาดเก่าแห่งนี้ เมื่อปี พ.ศ.2431 เมื่อครั้งที่พระองค์ ทรงเสด็จประพาสไทรโยค พระองค์ทรงตรัสว่า "วัดเจ็ดเสมียน ลานวัดกว้างใหญ่ ต้นไม้ร่มดูงามนัก เรือลูกค้า จอดอาศัยอยู่ที่นี่มาก บ้านเจ็ดเสมียน นี้เป็นที่ชอบของนักเลงกลอน พอใจจะหยากไหว้วานให้เสมียนมาจดแทบทุกฉบับ"

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เมื่อคราวศึกเก้าทัพ พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ กลอนเพลงยาวนิราศ เรื่องเรือรบพม่าที่ท่าดินแดง พระองค์ทรงแต่งกลอนนิราศ เมื่อกองทัพของพระองค์เสด็จมาถึงตำบลเจ็ดเสมียน มีใจความว่า

ถึงท่าราบที่ทาบทรวงถวิล   ยิ่งโดยดิ้นโหยหวนครวญกระสัน
ด้วยได้ทุกข์ฉุกใจมาหลายวัน   จนบรรลุเจ็ดเสมียนตำบลมา
ลำลำจะใคร่เรียกเสมียนหมาย  มารายทุกข์ทีทุกข์คะนึงหา
จึงรีบเร่งนาเวศครรไลคลา  พอทิวาเยื้องจะสายันห์

ตลาดเจ็ดเสมียน แต่เดิมมีต้นจามจุรีใหญ่สองต้นอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง เป็นหมุดหมายของตลาดเล็กๆ ให้พ่อค้าแม่ค้าทางบกเอาสินค้ามาแลกเปลี่ยนสินค้าทางน้ำ มีเรือนแถวชั้นเดียวหลังคามุงจาก พอเป็นแหล่งพักพิงชั่วคราว  พอบ้านเมืองพัฒนาขึ้นก็โค่นต้นจามจุรีลง ปลูกห้องแถวไม้สองชั้นขึ้นมา ตัวตลาดสดขยับจากริมแม่น้ำเข้ามาใกล้ทางรถไฟมากขึ้น เรือนแถวชั้นเดียวก็ถูกรื้อร้างไป ตลาดใหม่นี้เป็นที่ซื้อขายของคนทั่วสองฝั่ง

ช่วงหนึ่งตลาดเจ็ดเสมียน เคยมีตลาดนัดทุกห้าวัน โดยนับตามข้างขึ้นข้างแรม สมัยต่อมา ตลาดเจ็ดเสมียนเริ่มแผ่วลง แต่ตลาดนัดโบราณ ทุก 3 ค่ำ 8 ค่ำ 13 ค่ำ เป็นตลาดนัดตอนเช้าก็ยังคงมีอยู่ จนถึงปัจจุบัน  หลังจากที่ตลาดเจ็ดเสมียนเงียบเหงาลง ชุมชนเจ็ดเสมียน วัดเจ็ดเสมียน สวนศิลป์บ้านดิน (ภัทราวดีเธียเตอร์) ได้ร่วมกันทำตลาดเก่าแห่งนี้ ฟื้นชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง โดยมี มานพ มีจำรัส (ครูนาย) เป็นผู้จุดประกาย และครูเล็ก (ภัทราวดี มีชูธน) ได้ร่วมกับชุมชนเจ็ดเสมียน วัดเจ็ดเสมียน จัดงาน All About Arts (สืบสานงานศิลป์ภูมิปัญญาคนของแผ่นดิน) ทุกวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ สุดท้ายของเดือน

ตำนานเจ็ดเสมียน
หลังจากที่กรุงศรีอยุธยาเสียกรุงครั้งที่ 2 ให้กับพม่า กองทัพทำลายปราสาทราชวังกำแพงเมืองทั้งชั้นนอกชั้นใน เผาทำลายบ้านเรือนราษฎร ฆ่าฟันลูกเด็กเล็กแดง ผู้หญิง พระภิกษุ สามเณร นำทรัพย์สินเงินทอง และกวาดต้อนผู้คนไปยังกรุงอังวะ พระยาวชิรปราการ (สมเด็จพระเจ้าตากสิน) ตีฝ่าวงล้อมพม่ามาได้ ต้องการรวบรวมไพร่พล มีชาวบ้านจำนวนมากอาสามารับใช้ จนทหารที่เป็นเสมียนไม่เพียงพอ พระองค์ต้องการให้รับสมัครทหารให้ทันพบค่ำโดยเป็นเคร็ดของศาสตร์โบราณ จึงประกาศให้ผู้รู้หนังสือมาช่วย มีชายไทย 7 คน สมัครเข้ามาเป็นเสมียน ทำให้การรับสมัครชายไทยไปเป็นทหารเสร็จสิ้นก่อนพลบค่ำ พระองค์ประทับใจมาก จึงได้ตั้งชื่อหมู่บ้านแห่งนี้ว่า "หมู่บ้านเจ็ดเสมียน"


ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม : เรื่องราวเก่าๆ ของชาวเจ็ดเสมียน
ที่มา
ข้อมูล :
-ชุมชนเจ็ดเสมียน วัดเจ็ดเสมียน และสวนศิลป์บ้านดิน. (2553). หนึ่งเดียวตลาดวัฒนธรรมเมืองราชบุรี ตลาดเก่า 119 ปี เจ็ดเสมียน. เอกสารประชาสัมพันธ์ แจกจ่ายเมื่อ 8 มิถุนายน 2553.

ภาพ :
-http://www.moohin.com/picpost/003/b/0901291233226819.jpg
-http://www.chetsamian.org/photo/galleries/oldpicture/chetsamian_351.jpg

-http://byfiles.storage.live.com/y1p7fnl_d3nPg4yH6nz38HkEWVOnEQFCgVm4A0_y3YxBinzGjS0389rrlqPeVPklbGn
อ่านต่อ >>

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

พม่ากับไทย ทีใครทีมัน


บทความนี้ต่อจาก กักไว้ให้หิวโซ แล้วเอาข้าวล่อพม่า

งุยอคงหวุ่นแม่ทัพใหญ่นั้น ได้พิจารณาเห็นว่า ถึงแม้จะถูกล้อมด้วยกำลังที่มากกว่า แต่มีความกล้าหาญอดทนได้ แก้ไขสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา พยายามแหกค่ายปล้นค่ายทหารไทยหลายครั้งหลายหน ในท่ามกลางความอดอยากและสถานการณ์ทั่วๆ ไปเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พอกาลเวลาผ่านไป งุยอคงหวุ่นมองเห็นอนาคตว่าสู้ไม่ไหวแล้ว แพ้นั้นต้องแพ้แน่ แต่กลับกลัวตายในชีวิตตน โดยเห็นว่าการต่อรองในการยอมแพ้และวางอาวุธหลายครั้งหลายคราว จุดมุ่งหมายก็เพียงต้องการยืนยันจากไทยว่า เมื่อยอมแพ้แล้ว ตัวงุยอคงหวุ่นเว้นการถูกฆ่า

ความกลัวตายของแม่ทัพใหญ่พม่า คงจะสำนึกในตัวเองที่กระทำไว้กับคนไทย จึงเกิดความหวาดกลัวว่าจะถูกแก้แค้นจากทหารไทย คนไทยที่ฝังอยู่ในจิตใจด้วยเหตุผลสองประการ
ประการแรก งุยอคงหวุ่นเป็นแม่ทัพมารบกับไทยเมื่อคราวไทยเสียเมืองเมื่อปี พ.ศ.2310 สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจไว้กับคนไทยไม่รู้ลืม รวมทั้งนำกำลังลงมาจับคนไทยค้นหาแย่งชิงทรัพย์สมบัติชาวบ้านจนถูฏล้อมไว้
ประการที่สอง พูดจาเย้ยหยันทหารไทยในระหว่างที่ไทยสร้างค่ายล้อมพม่าที่บ้านบางแก้ว
ข้อความในใบลานที่งุยอคงหวุ่นส่งมาให้ตละเกล็บครั้งแรกเพื่อนำมาให้ฝ่ายไทย เป็นหนังสือทำนองขอร้องในการยอมแพ้ซึ่งเขียนเมื่อ 200 กว่าปีมาแล้ว มีข้อความหนึ่งซึ่งน่าจะทราบไว้ดังนี้
"พระเจ้าปราสาททองกรุงศรีอยุธยากับพระเจ้าช้างเผือก (พม่า) มีบุญญาภินิหารเป็นใหญ่ในชมพูทวีปด้วยกัน และพระมหากษัตริย์ทั้งสองฝ่ายเป็นเวรกัน พระเจ้าช้างเผือกกรุงอังวะให้ข้าพเจ้ากับนายทัพนายกองทั้งปวงมาทำสงครามกับท่านผู้เป็นเสนาบดีในกรุงศรีอยุธยาครั้งนี้ ข้าพเจ้าเสียทีแก่ท่าน ท่านล้อมไว้จะพากันหนีไปก็ไม่ได้แล้ว ถ้าท่านล้อมไว้อย่างนี้ก็มีแต่จะตายอย่างเดียว ไม่ใช่จะตายแต่พวกข้าพเจ้าที่เป็นนายทัพนายกองเท่านั้น จึงไพร่พลทั้งปวงก็จะพลอยตายด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อชีวิตข้าพเจ้าทั้งหลายตายไปเสียแล้ว ใช่ว่าสงครามของพระมหากษัตราธิราชทั้งสองฝ่ายจะเป็นอันเสร็จสิ้นกันเพียงนั้นก็หามิได้ ท่านผู้เป็นเสนาบดีไทยได้ถือน้ำทำชการสนองพระเดชพระคุณตามพระราชกำหนดกฏหมายของพระเจ้าปราสาททองกรุงศรีอยุธยาฉันใด ข้าพเจ้ามาทำสงครามก็ด้วยได้ถือน้ำทำราชการตามพระราชกำหนดกฏหมายของพระเจ้าช้างเผือกกรุงอังวะอย่างเดียวกัน อุปมาเหมือนเป็นแต่เครื่องศัสตราวุธซึ่งพระมหากษัตราธิราชทรงใช้สอยทั้งสองฝ่าย พระพุทธองค์ก็ได้โปรดประทานพระสัทธรรมเทศนาไว้ว่า อันจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์แต่ละคนนี้ยากนักฉันใด ข้าพเจ้าทั้งหลายจัได้รอดชีวิต ขอบรรดาท่านผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีช่วยพิเคราะห์ดูด้วยเทอญ"
พระเจ้าตากคงจะไม่พอพระทัยที่แม่ทัพใหญ่ต่อรองผัดวันประกันพรุ่งหลายครั้งหลายหน ครั้นวันหนึ่งได้ปรึกษาบรดาแม่ทัพนายกอง แม่ทัพนายกองขอให้ทำการหนักขึ้นโดยใช้กระสุนปืนไม้ระดมยิงเข้าไปในค่าย พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยได้ดำรัสว่า
"ฆ่าให้ตายนั้นง่าย แต่ข้าศึกสิ้นความคิดเช่นนี้แล้วฆ่าเสียก็บาปกรรมเปล่าๆ จับเป็นเอาเถิด"
เพื่อเร่งวันยอมแพ้ พระเจ้าตากจึงได้ทรงให้อุตมสิงหจอจัวมีหนังสือเข้าไปในค่ายพม่าทั้งสามค่ายโดยยืนยันการไม่ฆ่า และยังขู่ไปอีกว่า ถ้าไม่ยอมแพ้เสียโดยเร็วกองทัพไทยจะเข้าตีฆ่าฟันให้ตาย มิให้เหลือเลยแม้แต่คนเดียว
ครั้งวันรุ่งขึ้น นายทัพรองๆ คงทนความอดอยากความหวาดกลัวไม่ไหว เมียนหวุ่น กับ ปกันเลชู นายทัพพม่ากับนายรองๆ อีก 21 คน ได้รวบรวมเครื่องศัสตราวุธพากันออกมาสวามิภักดิ์ อุตมสิงหจอจัว พาเข้าถวายบังคมพระเจ้าตาก นายทัพทั้งสองได้อาสาเข้าไปจะนำตัวงุยอคงหวุ่นกับพวกออกมา
ในวันนั้น งุยอคงหวุ่น แม่ทัพใหญ่พร้อมกับนายทัพรองๆ เนมโยแมงละนรธา ยุยยองโบ่อคงหวุ่นมุงโยะ และนายทัพรองๆ ทั้งหมดออกมาจากค่าย หลังจากนั้นนายทัพไทยก็นำงุยอคงหวุ่นแม่ทัพใหญ่พม่ากับพวกเข้าไปถวายบังคมพระเจ้าตาก ณ กองบัญชาการกองทัพไทย
การรบครั้งนี้พระเจ้าตากทรงใช้เวลา 47 วัน (ตั้งแต่ 13 กุมภาพันธ์ 2317-31 มีนาคม 2317) เผด็จศึกได้โดยเด็ดขาด ได้เชลยทั้งตัวแม่ทัพใหญ่และนายรองตามที่กล่าวมาแล้วกับไพร่พลที่เหลือตายทั้งสามค่ายรวม 1,328 คนกับผู้หญิงอีก 2 คน พม่าตายเสียเมื่อทำการรบระหว่างถูกล้อมมีจำนวน 1,600 คน
ครั้งรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง พระเจ้าตาก มีรับสั่งให้ เจ้าพระยาจักรี ยกทัพขึ้นไปตีค่ายพม่าที่เขาชงุ้ม และให้ พระยาอนุชิตราชา กับหลวงมหาเทพ ยกทัพไปตีค่ายพม่าที่ปากแพรกพร้อมกับ พระยายมราชแขก
ผลที่สุดพม่าที่เขาชงุ้มและปากแพรกก็แตกหรีกระเจิง ถูกฆ่าฟันและจับได้อีกมาก มองจายิดกับตะแคงมรหน่องนายกองค่าย นำทหารเหลือตายหนีเข้าแดนพม่าไปหาอะแซหวุ่นกี้ที่เมาะตะมะ กองทัพไทยไล่ติดตามไปจนสุดพระราชอาณาเขต
ครั้นแล้วพระเจ้าตากทรงให้เลิกทัพกลับคืนพระนคร พร้อมกับพระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่แม่ทัพนายกองผู้ใหญ่ผู้น้อยตามสมควรแก่ความชอบที่มีชัยชนะต่อพม่าข้าศึกในครั้งนี้โดยทั่วกัน
สร้างสำนึกทางประวัติศาสตร์ผู้เขียนรวบรวมการสงครามของพระเจ้าตากในครั้งนี้ เพื่อ
ประการแรก ให้ประชาชนชาวไทยได้ราบวีรกรรมการรบในสมรภูมิ ซึ่งมีพื้นที่อยู่ในจังหวัดราชบุรีและจังหวัดกาญจนบุรี
ประการที่สอง เน้นให้ลูกหลานชาวราชบุรีและกาญจนบุรีได้อ่านได้ศึกษาการรบที่สำคัญยิ่งในดินแดนจังหวัดทั้งสองของเรา และให้ร่วมกันคิดร่วมกันพิจารณาว่า พวกเราน่าจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณต่ออดีตวีรกษัตริย์มหาราชผู้ยิ่งใหญ่ของชาติ
ประการที่สาม ให้ประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศที่มาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ได้น้อมระลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นเกล้าล้นกระหม่อมที่ทรงกู้แผ่นดินให้ลูกหลานได้มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย มีความภาคภูมิใจในฐานะประเทศที่มีเอกราชอิสระเสรีอันยาวนาน
และวันที่ 28 ธันวาคม เป็นวันครบรอบพระราชพิธีราชาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย
ที่มาของบทความ
รวมศักดิ์ ไชยโกมินทร์. (2544). สงครามประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน. (11-15)

ที่มาของภาพ
http://personinhistory.exteen.com/images/6.jpg
http://www.navy.mi.th/sctr/navyinfo/nvi9137/page2.3.jpg
http://xchange.teenee.com/up01/post-6409-1168583371.jpg
อ่านต่อ >>

กักไว้ให้หิวโซ แล้วเอาข้าวล่อพม่า

บทความนี้ต่อจาก ทัพพม่าเย้ยทัพไทยที่บางแก้วราชบุรี


พระเจ้าตาก ได้ทรงทราบจากทหารพม่าที่จับมาได้ว่า การที่ไทยส่งทหารไปรบกวนทำลายเส้นทางลำเลียงส่งเสบียงอาหาร ทำให้พม่าเริ่มอดอยาก

เมื่อทรงทราบเช่นนั้นทรงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง กับได้ข่าวจากทหารไทยที่พม่าจับไปแล้วหนีออกมาได้ว่า พม่าอดอยากถึงกับกินเนื้อช้างเนื้อม้าพาหนะถูกปืนใหญ่ล้มตายเสมอ พระองค์จึงทรงดำริว่าล้อมไว้ให้อดอยาก ทนไม่ได้ก็ต้องออกมาให้จับเป็นเชลย จะทำให้สมน้ำหน้าที่มันเย่อหยิ่งให้จนได้ และดำรัสว่า
"กักมันไว้ให้โซแล้วเอาข้าวล่อเถิด"
พระองค์ทรงปรารถนาจะเสด็จคุมกองทหารออกไปทำการรบตัดทางลำเลียงและกองกำลังของพม่าด้วยพระองค์เอง แต่พระยาเทพอรชุน พระดำเกิงรณภพ ทูลรับขออาสา จึงมีรับสั่งให้พระยาทั้งสองคุมหน่วยกำลังซึ่งมีกองอาจารย์และมนายเลือก (ทนายเลือก หมายถึงพวกนักมวยกองป้องกันพระองค์) 745 คน เป็นกองโจรไปช่วยเจ้าพระยาอินทรอภัย
ทั้งๆ ที่แม่ทัพนายกองคัดค้านและขอปฏิบัติการรบแทน แต่พระองค์ก็ต้องทรงออกศึกนำหน้าทหารออกรบด้วยพระองค์เองจนได้
เหตุเกิดขึ้นเมื่อพม่าที่เขาชงุ้มเข้าปล้นค่ายพระยาสุรสีห์ พม่าทำกลยุทธ์แบบค่ายวิหลั่น (ค่ายวิหลั่น คือการอำพรางกาย ค่อยๆ ขยับรุกเข้ามาหาค่ายไทยทีละน้อย เมื่อถึงจุดที่จะโจมตีก็ปฏิบัติการเข้าโจมตีกันทุกทิศทุกทางเป็นการจู่โจมระยะใกล้) แต่ทหารของเจ้าพระยาสุรสีห์ต่อสู้ป้องกันไว้ได้ ทหารพม่าจึงเข้าปล้นค่ายของ พระยานครสวรรค์ ในคราวต่อมา โดยเข้าปล้นค่ายในยามดึกประมาณตีสาม การรบพันตูระหว่างทหารพม่าและทหารไทยจนถึงค่อนสว่าง
ในเวลานั้น พระเจ้าตากตื่นบรรทมขึ้น ทรงทราบว่าพม่าเข้าตีค่ายพระยานครสวรรค์ ทันใดนั้นจึงรับสั่งให้จัดกองทัพโดยเร็ว ส่วนพระองค์พร้อมด้วยทหารองครักษ์กองหนึ่งกับกำลังรบอีกกองหนึ่ง ทรงขับม้าโลดแล่นออกหน้าตรงมาที่ค่ายพระยานครสวรรค์ พอดีทอดพระเนตรเห็นกองหนุนของพม่า พระองค์ทรงโผนม้าควงพระแสงดาบนำทหารเข้าตีตัด การรบพุ่งอย่างชุลมุนวุ่นวายก็เกิดเป็นสองฝักสองฝ่ายอลหม่านไม่เป็นกระบวน พักเดียวพม่าที่หนุนเข้ามาก็ถูกพระเจ้าตากต่อตีแตกกระจัดกระจายไปสิ้น
ครั้นแล้วพระองค์ก็ทรงนำทหารหวนมาตีกระหนาบทหารพท่าที่กำลังรบอยู่กับทหารของพระยานครสวรรค์จนถึงแปดโมงเช้า ผลที่สุดกองทหารพม่าแตกพ่ายไม่เป็นขบวนหนีกลับเข้าค่ายที่เขาชงุ้ม
ทางงุยอคงหวุ่นแม่ทัพใหญ่ที่ค่ายบางแก้ว ค่ายนี้หลังจากถูกล้อมก็พยายามตีออกมาไม่ได้ รอกองทหารพม่ามาช่วยก็ไม่สำเร็จ เกิดความอดอยากถึงกับฆ่าช้างฆ่าม้ากินกันแล้ว วันหนึ่งงุยอคงหวุ่นให้นายทัพกับทหารอีก 5 คน ออกมาพบเจ้ารามลักษณ์กับเจ้าพระยาจักรี ฝ่ายพม่าพูดวิงวอนขอให้ปล่อยทหารพม่าทั้งหมดกลับบ้าน ฝ่ายเราไม่ยอมแล้วบอกว่า ถ้ารักตัวกลัวชีวิตขอให้ยอมอ่อนน้อมโดยดี นายทัพพม่าขอกลับนำข่าวนี้เข้าไปรายงานแม่ทัพใหญ่ดูก่อน
งุยอคงหวุ่น ให้นายทหารพม่า 7 คนออกมาเจรจาอีก โดยยอมอ่อนน้อมถวายบังคม พร้อมกับถวายช้างม้าและพาหนะเครื่องศัสตราวุธ แต่ขอให้ปล่อยตัวกลับบ้าน
เจ้ารามลักษณ์กับเจ้าพระยาจักรีไม่ยอมและยึดตัวทหารพม่าไว้ 2 คน ปล่อยกลับไป 5 คน เพื่อไปแจ้งแก่แม่ทัพใหญ่พม่า
ความกดดันในกองทัพพม่าจวนถึงจุดระเบิด เพราะในวันนั้น อุตมสิงหจอจัว ปลัดทัพของยุงอคงหวุ่น พานายหมวดนายกอง พม่า 14 คนพร้อมศัสตราวุธของตนมัดแบกออกมาส่งให้ไทย
ฝ่ายไทยได้นำเข้าถวายบังคมพระเจ้าตาก พระองค์โปรดให้พระยารามคุมอุตมสิงหจอจัวกลับไปร้องบอกพวกพม่าในค่ายว่า
"ให้พากันออกมาสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าปราสาททอง พระเจ้าปราสาททองทรงพระกรุณาให้รอดชีวิต"
ทางในค่ายตอบออกมาว่า "ขอปรึกษากันดูก่อน"
การต่อรองด้วยวาจามีหลายครั้งหลายคราว ข้อใหญ่ใจความก็เพียงแค่ขอชีวิตไว้เท่านั้น
อ่านต่อใน พม่ากับไทยทีใครทีมัน


ที่มาบทความ
รวมศักดิ์ ไชยโกมินทร์. (2544). สงครามประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน. (9-10)
ทีมาของภาพ :
http://kingnaresuanmovie.com/images/news_003_sword_001.jpg
http://www.siamlocalnews.com/upload/watnangkav/firstpage/5922-8-3251.gif
อ่านต่อ >>

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทัพพม่าเย้ยทัพไทยที่บางแก้วราชบุรี

บทความนี้ ต่อจาก พระเจ้าตากล้างแค้น ไทย"ล้อม"พม่าที่บางแก้วราชบุรี




จากหนังสือไทยรบพม่า พระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และจากหนังสือเรื่อง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช รวบรวมโดย ประยูร พิศนาคะ ผู้เขียนได้รวบรวมเรื่องราวการรบครั้งนี้เพื่อให้ลูกหลานไทยได้ทราบพอเป็นสังเขป ดังนี้

ทางฝ่ายพม่า อะแซหวุ่นกี้ ยกกองทัพพม่าตามครัวมอญมาถึงเมืองเมาะตะมะ เมื่อทราบว่า พระยาเจ่ง กับหัวหน้าครัวมอญพาครอบครัวหนีมาไทยทางด่านพระเจดีย์สามองค์ จึงให้ ยุงอคงหวุ่น (เคยเป็นแม่ทัพยกมาตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อคราวเสียกรุงครั้งสุดท้าย) ถือพล 5,000 ยกตามครัวมอญลงมาถึงท่าดินแดง (อยู่ระหว่าง อ.ทองผาภูมิ กับ อ.สังขละบุรี ขณะนี้จมอยู่ในอ่างเก็บน้ำเขื่อนเขาแหลม) ได้รบกับกองทัพพระยายมราชแขก พระยายมราชแขกสู้ไม่ได้จึงถอยไปอยู่ที่ปากแพรก (คือเป็นที่พบกันระหว่างแม่น้ำแควน้อยกับแควใหญ่ อยู่ทางทิศตะวันตกของประตูเมืองกาญจนบุรี ซึ่งเป็นต้นน้ำแม่กลอง) งุยอคงหวุ่นจึงตามกองทัพพระยายมราชแขกไปถึงปากแพรก
พระยายมราชแขก รวบรวมกำลังไม่พอจึงทิ้งค่ายหนีมารวมกำลังใหม่ที่บ้านดงรัง (อยู่ในเขต ต.หนองขาว อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี) งุยอคงหวุ่นเมื่อเห็นกองทัพไทยหนีก็ได้ใจ คิดว่าคงไม่มีทหารไทยต่อสู้อีกเสมือนเมื่อชนะไทยในคราวที่แล้ว จึงเริ่มดำเนินการปล้นทรัพย์จับผู้คนในเขตเมืองกาญจนบุรี สุพรรณบุรี และนครชัยศรี โดยกำหนดให้ มองจายิด คุมพล 2,000 เป็นผู้ปฏิบัติและให้ตั้งค่ายอยู่ที่ปากแพรก ส่วนงุยอคงหวุ่นนำพล 3,000 ลงไปทางตะวันตกเฉียงใต้หมายปล้นทรัพย์จับเชลยในแขวงเมืองราชบุรี เมืองสมุทรสงคราม และเมืองเพชรบุรี
ครั้นเมื่อยกมาถึง บ้านบางแก้ว ทราบว่ามีกองทหารไทยตั้งอยู่ที่ราชบุรี งุยอคงหวุ่นจึงตั้งค่ายลงที่บางแก้วสามค่าย ฝ่ายพระองค์จุ้ย ตั้งอยู่ที่เมืองราชบุรี ได้กระแสรับสั่งของพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงแนะนำไปว่า ถ้ากองทัพข้าศึกที่ยกมาไม่ใหญ่หลวงเหลือกำลังให้ชิงทำก่อนอย่าให้โอกาสแก่ข้าศึก (ข้อนี้เป็นยุทธวิธีของพระเจ้ากรุงธนบุรีมาทุกคราว)

เมื่อพระองค์เจ้าจุ้ยทราบว่า พม่าตั้งค่ายอยู่ที่บางแก้วประมาณสัก 3,000 คน เห็นว่าพอจะสู้ได้ และกองทัพกรุงก็กำลังตามเพิ่มเติมออกไป จึงยกกองทัพขึ้นไปตั้งที่ตำบลโคกกระต่าย ในทุ่งธรรมเสน ห่างค่ายพม่าลงมาประมาณ 80 เส้น แล้วให้หลวงมหาเทพ คุมกองหน้าไปตั้งค่ายโอบพม่าข้างด้านตะวันตก และให้กองทัพเจ้ารามลักษณ์ ยกไปตั้งค่ายโอบด้านตะวันออก แล้วบอกความเข้ามายังกรุงธนบุรี พระเจ้าตากทรงเร่งรัดกองทัพให้ยกไปเมืองราชบุรี ครั้งเสด็จถึงพระองค์เจ้าจุ้ย มาเฝ้ากราบทูลว่า
"ครั้งนี้พม่าดูหมิ่นไทยยิ่งนัก เมื่อหลวงมหาเทพไปตั้งค่ายโอบ พม่าพากันดูเล่นแล้วร้องถามออกมาจากค่ายว่า ตั้งค่ายแล้วหรือยัง ให้ตั้งค่ายเสียให้เสร็จ พม่าจะรอให้ไทยไปพร้อมกันจึงยกออกมาตีจะได้จับเชลยได้มากๆ ในคราวเดียวกัน" พระเจ้าตากได้ทรงฟังมีความขัดเคืองยิ่งนัก
หลังจากนั้นพระองค์ได้เสด็จยกทัพหลวงจากเมืองราชบุรีไปฟากตะวันตก และตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลเขาพระ เหนือโคกกระต่าย ขึ้นไปประมาณ 40 เส้น พระเจ้าตากเสด็จทอดพระเนตรพิจารณาภูมิประเทศแล้ว จึงมีรับสั่งให้ตั้งค่ายล้อมพม่าอีกจนรอบกับให้ พระยาอินทรอภัย ไปตั้งรักษาหนองน้ำที่ เขาชั่วพราน (ชาวบ้านเรียกเขาช่องพราน) อันเป็นที่ข้าศึกอาศัยเลี้ยงช้างม้าพาหนะ และเป็นเส้นทางลำเลียงเสบียงอาหารของพม่า กับให้พระยารามัญวงศ์ คุมกองทหารมอญไปรักษาหนองน้ำที่ เขาชงุ้ม ซึ่งอยู่ในเส้นทางลำเลียงของข้าศึกไปทางเหนือ
ฝ่ายงุยอคงหวุ่น แม่ทัพพม่าเห็นกองทัพไทยตั้งล้อมแข็งแรงขึ้นจะนิ่งเฉยตามคำเยาะเย้ยไม่ได้เสียแล้ว ค่ำวันหนึ่งจึงจัดทหารเข้าปล้นค่ายทหารไทย ทหารไทยตีพม่าแตกกลับไป ปล้นครั้งที่ 2 ก็แตกกลับอีก ครั้งที่ 3 ให้ เนมิโยแมงละนรทา นายรองนำกำลังเข้าปล้นค่ายอีกในคืนเดียวกัน และกำลังส่วนนี้ก็แตกหนีไปอีกเช่นเคย เสียรี้พลล้มตายเจ็บป่วยเป็นอันมาก ไทยจับเป็นเชลยได้ก็มี งุยอคงหวุ่นเห็นทหารไทยรบกล้าหาญกว่าที่ตนเคยคิดไว้ และมีกำลังมากกว่าที่คาดคะเน จึงแต่งทหารเร็วเล็ดลอดไปบอกกองทหารพม่าที่ปากแพรก
ช่วงเวลานี้เอง อะแซหวุ่นกี้ คอยกองทัพงุยอคงหวุ่นที่เมาะตะมะ เห็นหายไปเกินกำหนดจึงให้ ตะแคงมรหน่อง เชื้อพระวงศ์พระเจ้าอังวะคุมพล 3,000 ยกตามลงมา เมื่อถึงปากแพรกจึงทารบจากมองจายิด ว่า กองทหารของงุยอคงหวุ่นภูกทหารไทยล้อมไว้ที่บางแก้ว จึงรีบให้มองจายิดรีบยกกำลังลงมาช่วยโดยด่วน ส่วนตัวตะแคงมรหน่องนำกำลังไปตีค่ายพระยายมราชแขกที่บ้านดงรัง หนองขาว เข้าตีทหารไทยไม่แตกจึงถอยไปตั้งอยู่ที่ปากแพรก เมื่อมองจายิดยกกำลังาช่วยงุยอคงหวุ่น แม่ทัพทั้งสองได้โจมตีค่ายทหารไทยเพื่อที่จะหักออกไปจากที่ล้อมอีกหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ
ในช่วงเวลานี้เอง เจ้าพระยาจักรี ยกกองทัพกลับมาจากเชียงใหม่ ในเวลาไล่เลี่ยกัน เจ้าพระยาสุรสีห์ คุมกองทัพหัวเมืองเข้าไปช่วย พระเจ้าตาก ทรงมอบให้เจ้าพระยาจักรีขึ้นไปบัญชาการล้อมค่ายเพิ่มเติมที่บางแก้ว ให้เจ้าพระยาสุรสีห์ คุมกองทัพหัวเมืองทั้งปวงไปล้อมประชิดค่ายพม่าที่เขาชงุ้ม กันไว้อย่าให้ติดต่อหรือลงมาช่วยค่ายพม่าที่บางแก้วได้

อ่านต่อใน กักไว้ให้หิวโซ แล้วเอาข้าวล่อพม่า

************************
ที่มา : รวมศักดิ์ ไชยโกมินทร์. (2544). สงครามประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน. หน้า 5-9.
อ่านต่อ >>

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552

พระเจ้าตากล้างแค้น ไทย"ล้อม"พม่าที่บางแก้วราชบุรี

ที่มาของภาพ : http://picdb.thaimisc.com/s/shalawan/2137-1039.jpg
ในแผ่นดินกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงทำสงครามกับพม่าสิบครั้งด้วยกัน
พ.ศ.2317 เป็นการรบกับพม่าครั้งที่ 8 ที่บางแก้ว (หมู่บ้านนี้ชาวบ้านเรียกว่า บ้านนางแก้ว อยู่ในเขต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี)
การรบครั้งนี้ พระเจ้าตากทรงดำเนินกลยุทธ์และยุทธวิธีขั้นตอนต่างๆ ผิดกับการรบทั้งเก้าครั้งที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ กล่าวคือ จะกำหนดวันเวลาที่เอาชนะฝ่ายพม่าได้ แต่พระองค์ไม่ทรงกระทำ พระองค์ทรงต้องการให้ งุยอคงหวุ่น แม่ทัพใหญ่พม่า ยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข
ที่สำคัญคือ พระองค์ทรงต้องการให้แม่ทัพใหญ่พม่าออกจากค่ายในฐานะผู้แพ้มาถวายบังคม (พูดอย่างไทยๆ ว่า ให้มากราบตีน-ผู้เขียน) ต่อหน้าพระพักตร์
เพราะเหตุใดพระเจ้าตากจึงพระทัยเย็นผิดวิสัยของยอดนักรบเช่นพระองค์ท่าน
ในกลางปี พ.ศ.2317 พระเจ้าตาก ได้รงจัดกองทัพไปตีเมืองเชียงใหม่ โดยดำรัสสั่งให้ เจ้าพระยาจักรี เป็นแม่ทัพใหญ่ คุมกองทัพเมืองเหนือยกขึ้นไปตีเมืองเชียงใหม่ พร้อมกับเจ้าพระยาสุรสีห์
เมื่อได้เมืองเชียงใหม่แล้ว พระองค์ประทับอยู่ 7 วัน ได้ทรงรับใบบอกเมืองตากขึ้นไปกราบทูลว่า มีกองทัพพม่าตามครัวมอญล่วงแดนเข้ามา จึงเสด็จยกกองทัพหลวงรีบลงมาเมืองตากและเสด็จต่อไปยังพระนคร
พอถึงพระนคร ทรงได้ข่าวว่า ข้าศึกยกมาทางด่านพระเจดีย์สามองค์เมืองกาญจนบุรี ตีทัพพระยายมราชแขกที่ท่าดินแดงแตก จึงมีรับสั่งให้เกณฑ์กองทัพในกรุงให้ พระองค์เจ้าจุ้ย ลูกยาเธอ กับ พระยาธิเบศร์บดี จางวางมหาดเล็ก ถือพล 3,000 ทัพหนึ่ง ให้เจ้ารามลักษณ์ หลานเธอ ถือพล 1,000 ทัพหนึ่ง ยกออกไปตั้งรักษาเมืองราชบุรี และให้มีตราไปยังหัวเมืองสั่งให้ยกทัพลงมาด้วย
ในขณะนั้น ทรงทราบว่า กองทัพหลวงล่วงมาถึงพระนครแล้ว จึงให้ตำรวจลงเรือเร็วไปคอยบอกกองทัพให้เลยออกไปเมืองราชบุรีทีเดียว อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดแวะบ้านโดยเด็ดขาด
ปรากฏว่า พระเทพโยธา แวะเข้าบ้าน จึงตรัสให้เอาตัวพระเทพโยธามา แล้วมัดเข้ากับเสาพระตำหนักแพ ทรงพระแสงดาบตัดศรีษะพระเทพโยธาด้วยพระหัตถ์ แล้วเอาศรีษะไปเสียบประจานไว้ที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์
อ่านต่อในหัวข้อ ทัพพม่าเย้ยทัพไทยที่บางแก้วราชบุรี

ที่มา : รวมศักดิ์ ไชยโกมินทร์. (2544). สงครามประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์มติชน. หน้า 3-4.
อ่านต่อ >>