แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สงครามโลกครั้งที่ 2 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ สงครามโลกครั้งที่ 2 แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สไลด์ : ตำนานสะพานจุฬาลงกรณ์

อ่านต่อ >>

วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

ชุมทางหนองปลาดุก จุดเริ่มต้นทางรถไฟสายมรณะ

ตอนที่ 1
ตอนที่ 2
ตอนที่ 3
ตอนที่ 4

ชุมทางหนองปลาดุก จุดเริ่มต้นทางรถไฟสายมรณะ
สัมภาษณ์ลุงนิตย์  ศรีประเสริฐ และภรรยา
เมื่อ 25 ตุลาคม 2549

สัมภาษณ์โดย พ.อ.หญิง นงนุช ขาวดารา
บันทึกเทป เทพนิมิตร อุทัยชิต
ที่มา : s463368's Channel
อ่านต่อ >>

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

ราชบุรีกับสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย ปลัดเสน่ห์ ปั้นสุขสวัสดิ์

ตอน 1
ตอน 2
ตอน 3

บรรยากาศราชบุรีกับสงครามโลกครั้งที่ 2
สัมภาษณ์ ปลัดเสน่ห์ ปั้นสุขสวัสดิ์ และภรรยา
เดือนตุลาคม 2548
สัมภาษณ์โดย พ.อ.สุชาต จันทรวงศ์ และ พ.อ.หญิง นงนุช ขาวดารา
บันทึกเทป เทพนิมตร อุทัยชิต

ติดต่อสนับสนุนรายการ โทร.0-3231-0262
ที่มา : s463368's Channel
อ่านต่อ >>

ราชบุรีกับสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยนายจรูญ ศรีเพชร

ตอน 1
ตอน 2
ตอน 3

บรรยากาศราชบุรีกับสงครามโลกครั้งที่ 2
สัมภาษณ์ นายจรูญ ศรีเพชร เป็นข้าราชการปฏิบัติงานอยู่ที่ศาลากลางจังหวัดราชบุรี
 (บริเวณพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติราชบุรี ปัจจุบัน) ตำแหน่งเสมียน
และผู้ประกอบอาชีพงมทราย
เดือนตุลาคม 2548
สัมภาษณ์โดย พ.อ.สุชาต จันทรวงศ์ และ พ.อ.หญิง นงนุช ขาวดารา
บันทึกเทป เทพนิมตร อุทัยชิต

ติดต่อสนับสนุนรายการ โทร.0-3231-0262
ที่มา : s463368's Channel
อ่านต่อ >>

ราชบุรีกับสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมหาผ่อง ผลิตตธมฺโม

ตอน 1
ตอน 2

บรรยากาศสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ราชบุรี
สัมภาษณ์ : มหาผ่อง ผลิตตธมฺโม
เจ้าอาวาสวัดเกาะนัมมทา
อายุ 80 ปี เมื่อ ตุลาคม 2548
สัมภาษณ์โดย พ.อ.สุชาต จันทรวงศ์ และ พ.อ.หญิง นงนุช ขาวดารา
บันทึกเทป เทพนิมตร อุทัยชิต

ติดต่อสนับสนุนรายการ 0-3231-0262
ที่มา : s463368's Channel 
อ่านต่อ >>

ราชบุรีกับสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยนายพิชัย เลาหชวลิต

ตอนที่ 1
ตอนที่ 2
ตอนที่ 3

วีดีโอสัมภาษณ์ นายพิชัย เลาหชวลิต อายุ 81 ปี
เกี่ยวกับ "บรรยากาศสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ราชบุรี"
เมื่อประมาณเดือน มกราคม 2550
สัมภาษณ์โดย พ.อ.สุชาต จันทรวงศ์ และ พ.อ.หญิง นงนุช ขาวดารา
บันทึกภาพ เทพนิมิตร อุทัยชิต 

ออกอากาศทางรายการสะพายกล้องท่องเที่ยว
สถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวีท้องถิ่นราชบุรี HCTV ช่อง 7
ติดต่อสนับสนุนรายการ 0-3231-0262
ที่มา : s463368's Channel
อ่านต่อ >>

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

บรรยากาศสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ราชบุรี กับมหาผ่องฯ ตอน 1

บรรยากาศสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ราชบุรี
สัมภาษณ์ : มหาผ่อง ผลิตตธมฺโม
เจ้าอาวาสวัดเกาะนัมมทา
อายุ 80 ปี
เมื่อ ตุลาคม 2548
อ่านต่อ >>

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ที่นี่..สถานีหนองปลาดุก


หากใครเคยอ่านนวนิยายชื่อดังเรื่อง คู่กรรม ของทมยันตี ที่หยิบยกเอาเหตุการณ์สงครามมหาเอเชียบูรพา มาเป็นฉากในการดำเนินเรื่อง แต่ยังกังขากับพฤติกรรมของสองตัวละครชูโรง คือตาผลกับตาบัว ที่ลอบเข้าไปขโมยของในค่ายทหารญี่ปุ่นอยู่เป็นประจำ ว่าเกิดขึ้นจริงๆ หรือไม่ เชิญพิสูจน์เรื่องราวที่คล้ายคลึงกันนี้ได้จากปากคำของลุงนิตย์ ศรีประเสริฐ หนึ่งในผู้ร่วมสถานการณ์จริง ซึ่งคลุกคลีอยู่กับค่ายทหารญี่ปุ่นที่หนองปลาดุก มาตั้งแต่การเริ่มสำรวจทางเพื่อเตรียมสร้างค่าย จนถึงวันสุดท้ายของการสิ้นสุดสงคราม

"ทีแรกพวกญี่ปุ่น นั่งรถมากับพวกเจ้านายในอำเภอ มาถึงก็สำรวจที่ทางแถวๆ นี้ หลังจากนั้นไม่นานก็ขนข้าวของมาสร้างค่ายที่นี้...ที่ดินตรงบ้านผมนี่ แต่ก่อนเป็นโรงครัว ตอนนั้นผมอายุสัก 17-18 ปี เขารับสมัครคนไปขุดดินทำทางก่อนวางราง ก็ไปทำกัน มีทั้งคนที่นี่ และมาจากที่อื่นๆ บ้าง นครปฐมก็มี เงินมันดี ได้วันละ 50 สตางค์ ก็ดีใจแล้ว ช่วงนั้นน้ำท่วมด้วย ทำอะไรได้เงินก็เอาไว้ก่อน อยู่ๆ ไปก็จับให้เราไปเรียนหนังสือญี่ปุ่น..เรียนกันหลายคน แล้วเปลี่ยนมาเป็นล่ามให้มันแทน ผมรู้จักคนเยอะ ในค่ายนี่รู้จักกันหมดแหละ พวกเชลยที่รอดไป ตอนหลังยังกลับมาที่นี่บ่อยๆ นี่ไง รูปนี้ถ่ายหน้าบ้านผม" ลุงนิตย์เล่าพลางหยิบรูปที่ถ่ายคู่กับฝรั่งร่างสูงใหญ่มาให้ดู

หากย้อนหลังกลับไปในวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ.2485 หน้าประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า เป็นวันที่หน่วยทหารซากาโมแห่งกองพลทหารรถไฟที่ 9 ของกองทัพญี่ปุ่น ได้ลงมือปักหลักหินบอกเลขกิโลเมตรที่ 0 ของทางรถไฟสายไทย-พม่า หรือที่รู้จักกันดีในนามทางรถไฟสายมรณะ ลง ณ สถานีหนองปลาดุก ในเขตอำเภอบ้านโป่ง

แต่ก่อนหน้านั้นในราวสองเดือน ชาวหนองปลาดุกต่างมีโอกาสต้อนรับอาคันตุกะร่างเตี้ยที่เข้ามาตัดฟันต้นไม้ต้นไร่ในสวนของตนเพื่อเตรียมพื้นที่สร้างค่ายทหาร ซึ่งนอกจากจะมีค่ายพักและค่ายกักกันแล้ว ยังมีโรงเรือนขนาดใหญ่ เพื่อใช้เป็นโรงซ่อมบำรุงหัวรถจักรที่ขนมาเตรียมไว้ใช้เป็นพาหนะลำเลียงเหล่าทหารและยุทธภัณฑ์ไปยังพม่า

เหตุที่เลือกหนองปลาดุกเป็นจุดเริ่มต้นทางรถไฟนั้น เนื่องจากเส้นทางระหว่างสถานีหนองปลาดุกไปยังสถานีบ้านโป่ง ถือว่าเป็นจุดเลี้ยวของรถไฟที่มุ่งหน้าลงใต้ หากสร้างทางรถไฟแยกจากจุดนี้ ไปทางจังหวัดกาญจนบุรี ตัดข้ามแม่น้ำแควน้อย ข้ามชายแดนไทย-พม่าไปสู่สถานีทันบิวซายัต ในเมืองมะละแหม่ง ได้สำเร็จก็จะสามารถเชื่อมเครือข่ายการขนส่งระหว่างประเทศได้

ยิ่งในขณะนั้น กองทัพญี่ปุ่นอันเกรียงไกรที่เคยมีชัยชนะทุกสมรภูมิ เริ่มตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน เพราะเรือลำเลียงในมหาสมุทรอินเดียถูกโจมตีอย่างหนัก จนไม่สามารถส่งกำลังไปบำรุงกองทัพที่ตรึงไว้ตามแนวชายแดนพม่า-อินเดียได้อย่างสะดวก จำเป็นต้องหาเส้นทางลำเลียงสายใหม่ให้ได้เร็วที่สุด

ทางรถไฟสายไทย-พม่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในขณะนั้น เพราะมีระยะทางสั้นที่สุด คือในราว 400 กิโลเมตร ซึ่งหากอยู่ในภาวะปกติคงต้องใช้เวลาสร้างถึงแปดปี แต่ทางฝ่ายญี่ปุ่นคำนวณแล้วว่า หากระดมแรงงานอย่างเต็มที่ คงสร้างเสร็จในเวลาเพียงปีเศษเท่านั้น

ตลอดระยะเวลาที่มีการสร้างทางรถไฟ ทางกองทัพญี่ปุ่นต้องประสบปัญหานานัปการ บางปัญหาแก้ไขได้ บางปัญหาก็น่าหนักใจ แต่คงไม่มีปัญหาใดสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าได้กับยุทธภัณฑ์ชิ้นใหญ่น้อยในค่ายหายไปเป็นประจำ เหตุการณ์ดังกล่าว ไม่ได้เกิดจากน้ำมือของจารชนที่ลอบเข้ามาบ่อนทำลายกองทัพ แต่เกิดจากฝีมือคนไทยและเชลยศึกในค่ายนั่นเอง

"ทำงานให้ญี่ปุ่นมั่ง ลักของมันออกมาขายมั่ง บางคนก็เอากะหรี่มาล่อ ไปเช่ามาจากนครปฐมสัก 15 บาทเห็นจะได้ แล้วเอาเข้าไนค่าย พวกญี่ปุ่นเห็นก็ชอบนะสิ ไม่ได้เจอมานานนี่ พอไอ้พวกนี้อยู่ข้างใน คนไทยข้างนอกก็ย่องมาลักยางรถ เอาไม้มาทำเป็นคานสอดแล้วห้ามไปทิ้งในคูก่อน ตอนหลังก็มาทยอยเอา พอยางหาย นายมันก็เล่นงานไอ้พวกลูกน้อง ทีนี้จะเอาผู้หญิงไปล่ออีกไม่ได้แล้ว"

"บางทีพวกเชลยฝรั่งก็แอบเอาตะปูใส่กระป๋องชามา ทำเป็นจะไปให้เพื่อนกิน แล้วแอบเอามาขายคนไทย...ประจำเลยเรื่องลักของ ไทยมั่ง ฝรั่งมั่ง บางทีมันเอาเสื้อผ้ามาแลกกล้วย แลกของกินเรา ที่มีอยู่กินกันไม่อิ่มหรอก มีอยู่ครั้งฝรั่งคนหนึ่งเอากางเกงมาขาย คนไทยก็เอาแบงก์ครึ่งใบพับแล้วส่งให้ ตอนแลกของกันมันต้องรีบๆ ทำ ชักช้าไม่ได้ เดี๋ยวญี่ปุ่นเห็นเอาตาย ตอนหลังฝรั่งนี่มันแค้นนะสิ มันเอาขี้ห่อใบตองมาอย่างดีเลยนะ ใส่กระป๋องมานี่แหละ น้ำหนักก็ได้พอๆ กับตะปู เอาไปขายตายันที่เอาแบงก์ให้ครึ่งเดียวนั่นแหละ พอแกเปิดไปเจอแต่ขี้ เขาเลยล้อกัน...ตายันซื้อขี้-ตายันซื้อขี้ ไอ้คู่นี้ตอนหลังเจอกันไม่ได้เลย"

"ญี่ปุ่นไม่ทันคนไทยหรอก เหลี่ยมไม่ทัน ญี่ปุ่นนั่งเฝ้ายามอยู่ บางทีก็หลับ คนไทยย่องเข้าไปเนี่ยไม่รู้เรื่องหรอก ตอนไหนมันเปลี่ยนยามเราก็รู้ เล่นเดินชักแถวร้องเย้วๆ มาแต่ไกล ได้ยินเสียงเราก็เผ่น บางทีเข้าไปซ่อนกันในค่าย เอาถังน้ำมันครอบไว้ พอปลอดคนก็ออกจากถัง ฮู้ย..วิธีการแอบมันมีหลายอย่าง ไปซ่อนบนต้นไม้ก็มี อย่างบางทีพวกที่ทำงานในค่ายจะเอาแป๊บออกมาขาย เตรียมขนเอามาวางใกล้รั้วไว้ก่อน พอดึกๆ แอบมาลากไป อย่างโรงเรือนในค่ายนี่มันปลูกติดดิน ไม่มีพื้น เราก็ขุดจากข้างนอกเข้ามา เอาของที่มันเก็บไว้ พวกลวด พวกทองแดง...อะไรเอามา ขายได้ทั้งนั้น ของใหญ่อย่างน้ำมันกลิ้งไปทั้งถังนี้แหละ ไท้งไว้ในคูน้ำก่อน แล้วแอบมาเอาทีหลัง"

ลุงนิตย์ เล่าด้วยน้ำเสียงสนุกสนาน พร้อมออกท่าออกทาง แน่นอนว่า ภาวะข้าวยากหมากแพงเพราะผลพวงจากสงครามนั้น ทำให้ชาวบ้านต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งปัจจัยสำคัญในการอยู่รอด แต่หากใครสักคนเกิดเพลี่ยงพล้ำจนถูกจับได้เว่า อะไรจะเกิดขึ้น...ในเมื่อทหารญี่ปุ่นนั้น ขึ้นชื่อหนักหนาในเรื่องความเข้มงวด

"กับคนไทย มันไม่ทำรุนแรง มันเล่นแปลกๆ เอาให้จำมากกว่าไปลักของมัน บางทีก็ให้ยืนกลางแดดเป็นกระต่ายขาเดียว ให้หิ้วถังน้ำด้วย ถ้าขาหย่อยเมื่อไหร่ก็ถูกฟาด แต่ที่เล่นเอาแย่ตอนที่มีคนเมาเข้าไปทำเสียงดังในค่าย มันจับกรอกน้ำสบู่เสียเลย"


ภาพความทรงจำครั้งอดีตกลายเป็นตำนานที่ถ่ายทอดสู่กันฟังอย่างไม่รู้จบ แต่ภาพโรงเรือนไม้ไผ่หลังคามุงจากนับสิบหลังที่เคยเรียงรายอยู่ริมทางรถไฟถูกรื้อถอนทำลายไปจนหมดสิ้นแล้ว ทุกวันนี้หนองปลาดุก มีชื่อปรากฏอยู่บนตารางเดินรถไฟสายใต้ในฐานะ "ชุมทางหนองปลาดุก" รถไฟที่เคลื่อนผ่านมาจะแยกเป็นสามสาย สายแรกมุ่งสู่ภาคใต้ สายที่ 2 คือ ทางรถไฟสายมรณะ ที่ปัจจุบันไปสิ้นสุดที่สถานีน้ำตกของจังหวัดกาญจนบุรี ส่วนอีกสายบ่ายหน้าไปยังจังหวัดสุพรรณบุรี

อาคารไม้รูปทรงเดียวกันกับอาคารสถานีทั่วไปของการรถไฟฯ ตั้งอยู่อย่างงโดดเดี่ยว
เสี้ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์ได้จารึกลง ณ ที่นี่..สถานีหนองปลาดุก

ที่มาข้อมูล
-สุดารา สุจฉายา.(2541). ราชบุรี. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สารคดี. (หน้า 74-75)
ภาพ : สุชาต จันทรวงศ์
อ่านต่อ >>

วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บรรยากาศสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ราชบุรี_ตอน 3

วีดีโอสัมภาษณ์ นายพิชัย เลาหชวลิต อายุ 81 ปี
เกี่ยวกับ "บรรยากาศสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ราชบุรี ตอน 3"
เมื่อประมาณเดือน มกราคม 2550
ออกอากาศทางรายการสะพายกล้องท่องเที่ยวสถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวีท้องถิ่นราชบุรี HCTV ช่อง 7
ติดต่อสนับสนุนรายการ 0-3231-0262
ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=GbNqBIMUzPs
เจ้าของ : s463368
อ่านต่อ >>

บรรยากาศสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ราชบุรี_ตอน 2

วีดีโอสัมภาษณ์ นายพิชัย เลาหชวลิต อายุ 81 ปีเกี่ยวกับ
"บรรยากาศสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ราชบุรี ตอน 2"
เมื่อประมาณเดือน มกราคม 2550

ออกอากาศทางรายการสะพายกล้องท่องเที่ยวสถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวีท้องถิ่นราชบุรี HCTV ช่อง 7
ติดต่อสนับสนุนรายการ 0-3231-0262
ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=8Usc9v4ljAk
เจ้าของ : s463368
อ่านต่อ >>

วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บรรยากาศสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ราชบุรี_ตอน 1

วีดีโอสัมภาษณ์ นายพิชัย เลาหชวลิต อายุ 81 ปี
เกี่ยวกับ "บรรยากาศสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ราชบุรี ตอน 1"
เมื่อประมาณเดือน มกราคม 2550
ออกอากาศทางรายการสะพายกล้องท่องเที่ยว
สถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวีท้องถิ่นราชบุรี HCTV ช่อง 7
ติดต่อสนับสนุนรายการ 0-3231-0262

ที่มา : http://www.youtube.com/watch?v=o8WFMeaMttI
เจ้าของ : s463368
อ่านต่อ >>

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ความพินาศของราชบุรี-สะพานจุฬาลงกรณ์จม

ต่อจาก ความพินาศของราชบุรี-ระเบิดสะพานครั้งที่ 2

ในคราวทิ้งระเบิดสะพานจุฬาลงกรณ์ครั้งที่ 3 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นี้ นับว่าเป็นครั้งสุดท้าย ส่งผลให้สะพานจุฬาลงกรณ์ หัก และสะพานบางส่วนจมไปในน้ำ ไม่สามารถใช้งานได้ ในวันที่ 11 ก.พ.2488 นายสละ จันทรวงศ์ ได้บันทึกไว้ดังนี้

ความพินาศครั้งที่ 3 - 11 กุมภาพันธ์ 2488 อวสานของสะพานจุฬาลงกรณ์สัมพันธมิตรมีชัยในพะม่า ในการศึกที่เทือกเขาพะโคแห่งเดียว พันธมิตรจับชะเลยได้ 800 คน ภายใน 10 วัน วิญญาณบูชิโดกำลังดับชีพลงในพะม่า ทหารญี่ปุ่นพยายามตีฝ่าออกจากที่ล้อมของทหารอังกฤษในแถบลุ่มแม่น้ำสโตง

ที่จังหวัดราชบุรี ถึงแม้ว่าญี่ปุ่นจะถูกตัดทางคมนาคมเสีย แต่ด้วยความทรหดอดทน และความจำเป็นทำให้ญี่ปุ่นดำเนินการลำเลียงติดต่อได้ผลดี ดังนั้นสัมพันธมิตรจึงต้องมาระเบิดสายคมนาคมแทบทุกวัน

24 น.ของวันที่ 11 กุมภาพันธ์ เป็นยามดึกสงัด ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงัด สงบอยู่ในความมืด บ้านเรือนที่เคยได้ถูกบอมบ์ ก็เหลือแต่เสาปักโดเด่อยู่ท่ามกลางรัตติกาล ต้นไม้ที่แห้งเหี่ยวก็ไหวโยกเมื่อยามลมพัด เสียงใบไม้เท่านั้นที่ดังเกลียวกราว เมื่อลมพัด เสียงที่ดังแว่วมานั้นเป็นเสียงลมตามธรรมชาติเท่านั้น แม้แต่สุนัขสักตัวเดียวก็หายาก ท้องฟ้าระยิบระยับไปด้วยแสงดวงดาวดาษเต็มท้องฟ้า เป็นเวลาข้างแรม ความมืดมัว ไม่ปรากฏว่าจะมีแสงตระเกียงสักดวงเดียว ทิ้งไว้แต่เสาไฟฟ้าที่สูงเด่นปราศจากสายไฟ แม้แต่หลอดสักดวงเดียวก็หายาก ถ้าเราทำเข็มตกในขณะนั้น เสียงนั้นจะสเทือนเลื่อนลั่นคล้ายกับเสียงบอมบ์
เครื่องบินทิ้งระเบิดทางไกล B.24 จำนวน 5 เครื่อง เข้ามาทำการโจมตีตอนกลางคืน พร้อมด้วยพลุร่มจำนวนมาก รายการการโจมตีครั้งนี้ หวังตัดการลำเลียงของญี่ปุ่น จำนวนลูกระเบิดที่ทิ้งจึงแม่นยำกว่าครั้งก่อน พลุร่มนับจำนวนได้เกือบ 80 ดวง ความสว่างเท่ากับ แสนๆ ล้านร้อยแรงเทียนไฟฟ้า นักบินยิงกราดด้วยปืนกลเครื่องบินลงในค่ายพักญี่ปุ่น การระเบิดซ้ำๆ ซากๆ ทำให้บ้านเรือนผืนแผ่นดินวินาศตามๆ กันไป
สะพานจม-12 กุมภาพันธ์ 2488เช้าตรู่ 06.30 น.ของวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ลูกระเบิดขนาดหนัก ซึ่งนักบินทิ้งลงมาเมื่อคืนนี้ ถึงเวลาระเบิดซึ่งตกอยู่ใจกลางสะพาน เสียงระเบิดกลบควันระเบิด สะเก็ดระเบิดเหวี่ยงไปพร้อมกลับเศษสะพาน เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พอสงบเสียงระเบิด ก็พลันเสียงลั่นของสะพานตอนต้นฝั่งเมือง ค่อยๆ เอนลงๆ ดังค่อยๆ จนแรงๆ ปะทะกับน้ำดังสนั่นหวั่นไหว น้ำแตกกระจายเป็นลูกคลื่น นั่นคือกาลและเวลาอวสานของสะพาน
ที่มา :
สละ จันทรวงศ์. (2470-2490). บันทึกส่วนตัว. เขียนด้วยลายมือ.
บทความที่เกี่ยวข้อง
-พิสูจน์ทราบหัวรถจักร ใต้สะพานจุฬาลงกรณ์
-ความพยายามในการกู้หัวรถจักร ใต้สะพานจุฬาลงกรณ์
อ่านต่อ >>

ความพินาศของราชบุรี-ระเบิดสะพานครั้งที่ 2

ต่อจาก ความพินาศของราชบุรี-ระเบิดสะพานครั้งที่ 1

นายสละ จันทรวงศ์ ยังได้บันทึกเรื่องราวการโจมตีสะพานจุฬาลงกรณ์ครั้งที่ 2 ไว้ดังนี้

ความพินาศครั้งที่ 2-30 มกราคม 2488วันคืนแห่งความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นเร่งรัดเข้า กองทัพญี่ปุ่นถอยมาตั้งมั่นในดินแดนไทย ญี่ปุ่นพักเก็บเสบียงอาหารไว้ที่ราชบุรี กองพันทหารหน่วยหนึ่งของญี่ปุ่นมาตั้งค่ายประจำอยู่ที่ราชบุรี ทั้งการลำเลียงขนส่งก็ยังปกติอยู่ ถึงแม้ว่าสัมพันธมิตรมาระเบิดสะพานแล้ว แต่ญี่ปุ่นก็ยังสามารถซ่อมใช้การได้ สัมพันธมิตรเลือกวันและเวลาเหมาะคืนวันที่ 30 นี้ ญี่ปุ่นได้เตรียมขนอาวุธจะส่งไปทางใต้ มีลูกระเบิดมือ ลูกระเบิดยิง อาวุธปืนสั้น ปืนยาว ลูกกระสุน นับจำนวนมหึมา จอดคอยกำหนดเวลาเคลื่อนขบวน

คืนนี้เป็นคืนเดือนหงาย พระจันทร์แจ่มฟ้า มองเห็นได้ตลอด เวลาที่เครื่องบินเข้าทำการ เป็นเวลา 23 น. B.24 จำนวน 6 เครื่อง เข้าโจมตีด้วยลูกระเบิดเพลิง และระเบิดชนิดกำหนดเวลา

สิ่งเสียหายปรากฏว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ สะพานชำรุดลงอีกกว่าเก่า ร.ร.ช่างเย็บ พัสดุเก็บของถูกเพลิงเผาผลาญ แสงเพลิงโชติช่วงจับท้องฟ้า เสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว สถิติการทิ้งครั้งนี้ ไม่แพ้คราวก่อน แต่ครั้งนี้ใช้ลูกระเบิดชนิด 500 ก.ก.หลายลูก ความเสียหายพอๆ กับครั้งก่อน

รายงานจำนวนลูกระเบิด
  • สะพานรถไฟ 5 ลูก
  • โรงสูบน้ำ 4 ลูก
  • ทางรถไฟสายไปค่าย 4 ลูก
  • ข้างโรงไฟฟ้า 3 ลูก
  • ผิดที่หมายลงที่สระบัว 3 ลูก
  • รวมทั้งลูกระเบิดเพลิง
ลูกระเบิดเที่ยงคืนวันที่ 31 มกราคม 2488 ลูกระเบิดชนิด 500 ก.ก. ตกอยู่ในน้ำริมทางรถไฟ ข้างตู้อาวุธของญี่ปุ่น ได้ระเบิดขึ้นดังสนั่นหวั่นไหว ลูกนี้ที่ล้างผลาญบ้านเรือนราษฎรตลอดทรัพย์สิน บรรดาสัตว์ ให้พินาศลง ทำความพินาศสู่อาวุธญี่ปุ่น รถไฟทั้งขบวนพังละเอียด ลูกระเบิด ลูกกระสุน เมื่อถูกแรงกระเทือน ความร้อนก็แตกซ้อนขึ้นต่อๆ ไป รวมเวลาที่กระสุนและลูกระเบิดระเบิดถึง 4.00 น. ของวันใหม่ ตู้รถพังลงมาอยู่ในคลอง ตกรางบ้าง ไฟไหม้ ถูกสะเก็ดปุไปทั้งคันรถ รวมความเสียหายนับล้าน
รุ่งขึ้นวันที่ 1 ข้าพเจ้ามาราชบุรี ยังพบเหตุการณ์ยืนดูความพินาศของรถ ความย่อยยับของโรงไฟฟ้า กำแพงเรือนจำพังราบลงแถบหนึ่ง บ้านเรือนประตู หน้าต่าง เพดาน พังลงมากองอยู่ข้างทาง วันนั้นกรมช่างแสงส่งคนมาแกะชนวนลูกระเบิดที่ยังไม่ระเบิดอีก 2 ลูก เป็นชนิดเดียวกับที่ระเบิดเที่ยงคืน คือลูกละ 500 ก.ก. ซึ่งคาดว่าไม่ช้ากว่า 15 นาที ก็จะระเบิด ดีที่ถอดชนวนเสียก่อน มิฉะนั้นถ้าระเบิดขึ้น สะพานรถก็จะลอยไปทั้งสะพาน เมืองราชบุรีคงหายไปในสายตา ราชบุรีเดี๋ยวนั้น มีแต่ทหารชาวญี่ปุ่นมากมาย ร้านขายของมีเพียงสองสามร้าน เงียบเชียบ แม้แต่ใบไม้ตกก็ยังได้ยินกังวาฬ วันนั้นข้าพเจ้าต้องระวังแทบแย่ เพราะกลัวอำนาจการระเบิด และลูกปืนกลที่ฝ่ายสัมพันธมิตรจะนำมาป้อนญี่ปุ่น
ร.ร.ปิดร.ร.ได้รับความเสียหายทำการสอนไม่ได้ ต้องอพยพไปเรียนที่อื่น น้องๆ ข้าพเจ้าต้องขอใบอพยพที่ครูใหญ่ประจำอยู่วัดเหนือวน เดินทางไปตั้งวันหนึ่ง รุ่งขึ้นวันที่ ๓ ข้าพเจ้าก็ให้ศึกษาธิการผู้ช่วยเซ็นใบอพยพ แล้วกลับดำเนิน นำน้องๆ ไปฝากที่ ร.ร.สายธรรมจันทร์
ที่มา :
สละ จันทรวงศ์. (2470-2490). บันทึกส่วนตัว. เขียนด้วยลายมือ.
อ่านต่อ >>

ความพินาศของราชบุรี-ระเบิดสะพานครั้งที่ 1

ผู้เขียน ได้ไปค้นพบบันทึกส่วนตัวของ นายสละ จันทรวงศ์ ซึ่งเป็นบิดาของผู้เขียนเอง เขียนบันทึกไว้ด้วยลายมือที่สวยงามมาก ท่านได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับบรรยากาศของราชบุรีตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ.2470-2490 ไว้อย่างหลากหลาย ในตอนหนึ่งระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ช่วงปี พ.ศ.2488 นายสละฯ ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับการทิ้งระเบิดโจมตีสะพานจุฬาลงกรณ์ ของฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อตัดเส้นทางถอยของกองทัพญี่ปุ่น ไว้ได้ค่อนข้างละเอียด อ่านแล้วพอที่จินตนาการเหตุการณ์ตามไปได้ ผู้เขียนจึงขออนุญาตคัดลอกมาเขียนไว้ในบทความนี้เพื่อเป็นวิทยาทานแด่คนรุ่นหลังสืบไป โดยคำสะกดบางคำอาจผิดไปจากปัจจุบันบ้าง แต่ผู้เขียนยังคงดำรงไว้ไม่ได้แก้ไขแต่อย่างใด บันทึกในช่วงเวลาดังกล่าว มีดังนี้

ความพินาศของราชบุรี-ระเบิดสะพานครั้งที่ 1
“ น้ำหนักทัพฟ้าของอังกฤษ อเมริกาเริ่มระดมกำลังโจมตีตัดสายลำเลียงของทางรถไฟสายร่างกุ้ง มันดะเลย์ ถนนสายพะม่าจีน และตัวเมืองร่างกุ้ง เป็นครั้งแรก จากนั้นทัพบกก็เริ่มคืบคลานมา แนวต้านทานของญี่ปุ่นถูกทะลวงอย่างดุเดือด แผนการขั้นที่ 2 เป็นที่พึงพอใจ ญี่ปุ่นถอยกรูดอย่างไม่เป็นส่ำ ลำเลียงพลเข้าสู่เขตไทยมาก ทัพฟ้าออกโจมตีทิ้งระเบิดตัดทางรถไฟสายไทยพะม่า และการขนส่งทางเรือของญี่ปุ่นทันที”

ราตีแห่งความพินาศ-14 มกราคม 2488ในตอนกลางคืนของวันที่ 14 มกราคม ซึ่งเป็นคืนนัดหมายการโจมตีสะพานจุฬาลงกรณ์ ที่จังหวัดราชบุรี เครื่องบินทิ้งระเบิดหนักมาโจมตีทำลายสะพาน และศูนย์กลางของทางรถไฟที่เป็นกุญแจมือสำคัญ
เมื่อ 22.40 นาฬิกา ของราตรีอันมืดมัว ท้องฟ้าประดับประดาด้วยหมู่ดาว เมฆหมอกกระจ่าง ปราศจากแสงเดือน ข้างแรม ขณะนี้เป็นยามที่บุคคลส่วนมากหลับนอนกัน ความเงียบสงัดได้ยินแต่เสียงจิ้งหรีด เสียงเรไรร้องเท่านั้น

สัญญาณมหาภัยสัญญาณบอกเหตุอันตรายดังกังวานไปตามสายลม ปลุกให้ชาวราชบุรีตื่นด้วยความตกใจ คล้ายกับเสียงเทวทูตประลัย เมื่อเสียงสัญญาณดังหายไปตามสายลม ไม่ทันถึง 10 นาที พลันได้ยินเสียงกระหึ่มของยานฟ้าเครื่องหนึ่งบินใกล้เข้ามาๆ จนผ่านตัวจังหวัด เลยไปทางทิศตะวันออก เราพยายามแหงนดู แต่มองหาไม่เห็น เมื่อเครื่องบินผ่านไป เราก็อุ่นใจอีก แต่หาหมดอันตรายไม่ ต้องคอยระวังอยู่ทุกวินาที เมื่อรอเวลาที่ผ่านไป ยังไม่ทันจะถึงครึ่งชั่วโมง เสียงคางของเครื่องบินแว่วมากระทบหูเราอีก เราตั้งใจฟังอย่างตั้งใจ เสียงนั้นดังหนักเข้ามา เข้าใจว่าเป็นเครื่องบินลำที่ผ่านไปทีแรก ตามทางที่ได้ยินเสียง คงบินจับลำน้ำแม่กลองมา พอถึงตัวจังหวัดก็เลี้ยวเป็นวงกลม จุดหมายอยู่ที่สะพาน แล้ววัตถุอย่างหนึ่ง 3 ชิ้น ก็หลุดมาจากใต้ปีก สิ่งนั้นคือ

พลุไฟชูชีพเป็นเครื่องช่วยในการโจมตีอย่างดี มีร่มผูกติดกับพลุไฟ ทำเป็นกระป๋องมีฝาครอบ พลุไฟนี้ ติดได้เองกลางอากาศ เนื่องจากใช้แก้สทางวิทยาศาสตร์ พลุไฟนี้สามารถลอยอยู่ได้ 15 นาที ความสว่างเท่ากับไฟฟ้าขนาดแสนแรงเทียน พลุร่ม 3 ดวง ลอยอยู่กลางหาว สว่างดังกลางวัน ทุกคนอกสั่นขวัญหาย ไม่คลาดหมายว่าจะถูกการโจมตีเลย ดังนั้นทุกคนไม่ว่าลูกเด็กเล็กแดง พากันร้องไห้เซ็งแซ่ ต่างคว้าเข้าของที่จำเป็น จูงลูกจูงหลาน วิ่งหนีกระจัดกระจาย ไปคนละทิศละทาง ทุกคนหวังวิ่งหนีเอาตัวรอดเท่านั้น สภาพของชาวราชบุรีขณะนี้น่าอนาถใจ ยิ่งวิ่งหนีดู เหมือนดูพลุร่มได้กระหน่ำลงมาหนักเข้า ทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก เต็มไปด้วยพลุร่ม ลอยขาวและแดงไปด้วยแสงไฟ สว่างไสวยิ่งกว่ากลางวัน สามารถเห็นทางได้สะดวก เสียงเครื่องบินได้ฟังสะท้านสะเทื้อนอารมณ์ เตี้ยจนปีกแทบละยอดไม้

ข้าพเจ้าหนีไปพร้อมกับมารดา มีของติดมือหลายอย่าง วิ่งจากบ้านไปทางถนนอัมรินทร์ เลี้ยวเข้าถนนก้อนทอง ออกถนนไกรเพชร ตอนนี้เองเครื่องบินลำหนึ่งบินมาในระยะต่ำที่สุด จนเสียงแสบแก้วหู เสียงปืนกลประจำเครื่องบินดังแหวกอากาศไม่ขาดระยะ ข้าพเจ้าฉุดมารดาหมอบข้างทาง พอเครื่องบินผ่านไปแล้ว ก็ลุกขึ้นวิ่งต่อไปอีก เลี้ยวเข้าถนนราษฎรยินดี เสียงเครื่องบินผ่านศีรษะอยู่ไม่ขาดระยะ ถึงถนนราษฎรยินดี ได้ยินเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว ซ้อนกันสองครั้ง นั่นเป็นสัญญาณของการบอมบ์ลูกแรกและต่อไป

ข้าพเจ้าบุกโคลนตัดทุ่งนาไปทางถนนคฑาธร ข้ามถนนคฑาธรไปถึงทุ่งนา หลัง ร.ร.ราชโบริกา และตั้งพักอยู่ที่นี่เอง ข้าพเจ้าแหงนดูเครื่องบิน ลูกระเบิดจากใต้ท้องหล่นเป็นสาย เห็นได้ถนัดถัดถี่ พลุร่มลอยอยู่เหนือศีรษะเรา เราหวั่นในอำนาจของลูกระเบิด การโจมตีดำเนินไปอย่างรุนแรง พลุเพิ่มจำนวนมากขึ้น ปีกของเครื่องบินเฉียดต้นสนไปทีเดียว แล้วลูกเหล็กก็หล่นลงเป็นระยะๆ รายการการโจมตี เป็นไปอย่างปราศจากการขัดขวาง 1 ชั่วโมงเต็ม การโจมตีก็ยุติ B.24 จำนวน 5-6 เครื่อง ก็เดินทางบ่ายหน้าไปฐานทัพทางทิศตะวันตก การโจมตีก็สงบ สัญญาหมดอันตรายก็ดังขึ้น

ทุกคนหวังใจว่าหมดอันตราย ด้วยความเป็นห่วงบ้าน และสิ่งของทุกคนจึงอยากกลับเข้าเมือง แต่อำนาจระเบิดชนิดกำหนดเวลา เมื่อถึงเวลาก็ระเบิดขึ้นสนั่นหวั่นไหว พาบ้านเรือนสูญหายไปพร้อมกับการระเบิด เดี๋ยวนี้ทุกคนทราบดีว่าอันตรายคุกคามชีวิต ทุกคนที่หวังกลับบ้าน ต้องกลับใจหันกลับทุ่งนา ลูกระเบิดได้ระเบิดขึ้นอีก เสียงแตกของระเบิดดังยิ่งกว่าฟ้าผ่า น่าขนพองสยองกลัว เสียงแตกหักของสิ่งก่อสร้างบ้านเรือนไม่ขาดระยะ นานๆ ก็ได้ยินเสียงระเบิดทีหนึ่ง เราเข้าบ้านไม่ได้ คืนนั้นเรานอนพักที่ทุ่งนา ทั้งหนาวก็หนาว พอจะหลับตาเสียงระเบิดก็ระเบิดขึ้นทีหนึ่ง เสียงกราวของอำนาจของลูกระเบิดดังจับใจ เรานอนฟังเสียงระเบิดตลอดเวลาจนพระอาทิตย์ขึ้น แสงเงินแสงทองจับท้องฟ้า เรารีบกระวีกระวาดลุกขึ้น พร้อมกับถูกต้อนรับด้วยเสียงระเบิดอีกลูกหนึ่ง เราเห็นคนเต็มทุ่งนาไปหมด เรายังไม่หวังและไม่กล้าเข้าบ้าน เราเดินตัดมาทางถนนเขาวังซึ่งเวลานั้นเรามีเพียง 3 คน ชาวราชบุรีปรากฏว่ามารวมกันที่นี่มาก เสียงระเบิดดังตลอดเวลา เราเดินทางไปถึงสนามบิน พักอยู่ที่นี่บ้านคนรู้จัก ข้าพเจ้าอยากเข้าเมือง จึงชวนนิกร ชุติชูเดช มาด้วย เราตัดทุ่งนามาทางโรงพยาบาล ขณะนี้เสียงลูกระเบิดดังกลบประสาท ข้าพเจ้าอ้อมหลังสถานีตัดเข้า ร.ร.เบญจม แต่เข้าเมืองไม่ได้ต้องกลับทางเก่า ขณะที่ผ่านมาลูกระเบิดระเบิดทางวิกสวนบุรีสุขไม่ขาดระยะ คืนนั้นเราพักแรมที่สนามบิน เรานอนไม่หลับเลย หนาวก็หนาว เสียงระเบิดก็มาปลุกประสาท

เข้าเมือง 16 มกราคม 2488เช้าวันนี้ ลูกระเบิดคงจะลดจำนวนลงไปมาก ไม่ค่อยมีเสียง เราเข้าเมืองในตอน 7.00 น. เงียบเหลือที่จะเงียบ เศษดินหิน เหล็ก กระเบื้อง เกลื่อนเต็มถนนไปหมด เราเดินดูด้วยความสลดใจในสภาพของราชบุรี เป็นครั้งแรกที่เราได้พบเห็น บ้านของเราหลังคาไม่มี ฝาพังทลาย เศษไม้เศษดินตกอยู่ ดูวังเวงใจที่สุด เราได้เดินตรวจดูความเสียหายจนตลอด ป้อมทั้งสองของสะพานพังชำรุดไป ส่วนโค้งของสะพานเอียงกระเท่เล่ จะจมแหล่มมิจมแหล่ ใช้เดินรถไม่ได้ ส่วนหนึ่งของท่าเรือแดงหายไป ห้องแถวริมน้ำถูกอย่างจังหายไปพร้อมกับเสียงระเบิด อีกลูกหนึ่งตกกลางถนนเป็นหลุมใหญ่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 ฟิต ถนนขาด อีกแห่งหนึ่งตึกริมทางรถไฟ ถูกระเบิดสะพานข้ามคลองหายไป บ้านยกหานไปทั้งหลัง ห้องแถวถนนรถไฟ พังราบเหลือแต่เศษปูน วิกสวนบุรีสุข ปรากฏว่ามีแต่หลุมระเบิด ที่ถนนวรเดช ตกริมถนน ถนนขาด ไปยกต้นมะขามทั้งต้นลงไปสู่แม่น้ำ ทับไปบนเรือเกลือจมลงทันที อีกสองลูกตรงในวิกพังพินาศไปหมด เหลือที่จะสร้างต่อไป อีกแห่งหนึ่งที่ถนนคฑาธร บ้านเรือนสูญหายไปทันที

สถานที่ถูกระเบิด
  • สะพานรถไฟ 5 ลูก
  • ริมทางรถไฟตั้งแต่สถานีจดแม่น้ำ 11 ลูก
  • ตกที่วิกและริมถนน 3 ลูก
  • ถนนวรเดช 4 ลูก
  • บริเวณวิกสวนบุรีสุข 6 ลูก
  • ในน้ำเท่าที่ระเบิดและยังไม่ระเบิด 4 ลูก
  • บริเวณฝั่งทหาร 3 ลูก
  • พลุร่มใช้ในการโจมตีรวม 37 ดวง
การเสียหายไม่สามารถจะคิดได้ถูกต้อง
เราเดินตรวจดูหลุมระเบิด และบ้านเรือนที่พังทับถมลงมากองอยู่ตามถนน เสียงล่วงหล่นของเศษดินเศษไม้ดังอยู่ไม่ขาด เมื่อกระทบกับแรงคน เราเศร้าใจในสภาพของเมืองร้างมาก เราดูด้วยความรันทดในใจ หลุมระเบิด เศษลูกระเบิด ยังติดตาเราไปจนวันตาย ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมหนีเอาตัวรอด เราสดับแต่เสียงหวาดกลัวของคนเท่านั้น เรายืนดูหลุมระเบิดที่ตกกลางถนน ลึกเหลือประมาณ เศษไม้เศษหินตกอยู่แทบเท้าเรา เรายังเอาเท้าปัดฝุ่นที่ริมหลุมระเบิด ซึ่งหนาตั้งครึ่งฟุต เราทนดูอยู่ไม่ไหว เมื่อบ้านเมืองเรามีอาการเป็นดังนี้
อพยพจากถิ่นเราหวาดภัยมาก ทั้งบ้านเรือนก็สู่สภาพน่าสังเวช เราจึงตัดสินใจจากราชบุรีไปสู่ถิ่นที่ปลอดภัย เรานำสิ่งของที่จำเป็นเท่านั้นติดตัวไป ส่วนของที่ไม่จำเป็นยังเก็บไว้ที่บ้านเดิม เราเริ่มเดินทางเมื่อบ่าย 3 โมงเย็น เราถึงดำเนินสะดวกเมื่อ ๑๙.๐๐ น.และพักอยู่บ้านป้า คืนนั้นเราถูกถามด้วยข้อความที่เราถูกลูกบอมบ์”
ที่มา :
สละ จันทรวงศ์. (2470-2490). บันทึกส่วนตัว. เขียนด้วยลายมือ.
อ่านต่อ >>

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สะพานจุฬาลงกรณ์ กับ ประวัติศาสตร์ที่สาปสูญ


ปัจจุบันสะพานจุฬาลงกรณ์ เป็นสะพานรถไฟ ทอดข้ามลำน้ำแม่กลอง ควบคู่กับสะพานธนะรัตน์อันเป็นสะพานสำหรับรถยนต์ เชื่อมตัวเมืองราชบุรี ผ่านศาลเจ้าพ่อหลักเมือง สู่ถนนเพชรเกษม ที่จะออกสู่กรุงเทพฯ หรือล่องใต้ต่อไป... หลายคนคงรับรู้เรื่องราวของสะพานจุฬาลงกรณ์เพียงเท่านี้ แต่จะมีสักกี่คนที่รับรู้ว่า ใต้สะพานแห่งนั้น มีหัวรถจักรไอน้ำ นอนสงบนิ่งอยู่ใต้ลำน้ำแม่กลอง สงบนิ่งอยู่กับบางเศษเสี้ยวของประวัติศาสตร์ที่ขาดหายไป แต่เดิม การคมนาคมขนส่งจากนครหลวง คือ กรุงเทพฯ ลงสู่ภาคใต้เป็นไปอย่างยากลำบากมาก จนล้นเกล้า ฯ รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดให้มีกิจการรถไฟ เฉพาะสำหรับสายใต้ได้เชื่อมถนนรถ ไฟ จากสถานีรถไฟบางกอกน้อยไปถึงสถานีรถไฟเพชรบุรี ทรงโปรดให้มีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลองสำหรับทั้ง รถยนต์ และรถไฟ และทรงเสด็จเปิด พร้อมพระราชทานนาม "สะพานจุฬาลงกรณ์" เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๔ จากนั้นเป็นต้นมา การคมนาคมขนส่ง จากกรุงเทพฯ มาราชบุรี สู่ภาคใต้จึงสะดวกมากยิ่ง ๆ ขึ้น
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ แถบเอเชียก็เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา.....เช้าวันที่ ๘ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๔ กองทัพญี่ปุ่นอันเป็นฝ่ายอักษะ ได้ยกพลขึ้นบกที่ฝั่งทะเล จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อใช้ไทยเป็นทางผ่าน เข้ายึดประเทศพม่า ซึ่งขณะนั้นเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ฝ่ายสัมพันธมิตร ศัตรูของตน กองทหารไทยแม้มีกำลังอ่อนด้อยกว่าทั้งจำนวนกำลังพลและปืนไฟ แต่ก็ได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ทหารไทยยิงข้าศึก จนกระสุนปืนหมด ต้องติดดาบปลายปืน ออกตลุมบอน เกิดวีรกรรมอาจหาญ ดังวีรกรรมของ "จ่าดำ" ซึ่งปัจจุบันมีอนุสาวรีย์ของท่านอยู่ที่ค่ายวชิราวุธ กองบัญชา การกองทัพภาคที่ ๔ จังหวัดนครศรีธรรมราช แต่ด้วยความอ่อนด้อยกว่าในทุกด้าน ท้ายที่สุดกองทัพญี่ปุ่นก็สามารถ เคลื่อนพลจากนครศรีธรรมราช ผ่านสุราษฎร์ธานี - ชุมพร - ประจวบคีรีขันธ์ - เพชรบุรี - ราชบุรี สู่กาญจนบุรี ซึ่งที่กาญจนบุรี กองทัพญี่ปุ่นต้องเกณฑ์เชลยศึกมาสร้างสะพาน เพื่อยกพลทางรถไฟเข้าสู่พม่า เกิดตำนาน "สะพานข้ามแม่น้ำแคว" มีเชลยศึกล้มตาย เพราะการณ์นี้เป็นจำนวนมาก
มีคำถามที่ชวนให้ค้นหากันมากว่า ที่กาญจนบุรีไม่มีสะพานข้ามแม่น้ำแควเพื่อเข้าสู่พม่า ญี่ปุ่นต้องสร้างสะพาน ข้ามแม่น้ำแคว และฝ่ายสัมพันธมิตรก็ส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดสะพาน แต่ที่ราชบุรี เส้นทางที่ญี่ปุ่นผ่านเข้าสู่กาญจนบุรี มีแม่น้ำแม่กลองขวางกั้น และมีสะพานจุฬาลงกรณ์อยู่แล้ว ญี่ปุ่นซึ่งเคลื่อนพลส่วนใหญ่ด้วยรถไฟ จะเคลื่อนผ่านราชบุรีไปได้อย่างไร ถ้าไม่ผ่านสะพานจุฬาลงกรณ์ ? คำถามนี้ชวนให้สงสัยมากขึ้น เมื่อมีผู้ค้นพบหัวรถจักรไอน้ำนอนสงบนิ่งอยู่ใต้ผืนน้ำแม่กลอง ใต้สะพานจุฬาลงกรณ์ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๕ หัวรถจักรนี้เกี่ยวข้องอะไรหรือไม่กับสงครามมหาเอเชียบูรพา ถ้าเกี่ยวข้อง หัวรถจักรไอน้ำนี้ เป็นของฝ่ายใด สัมพันธมิตรหรืออักษะ และถ้าเกี่ยวข้องกับสงครามมหาเอเชียบูรพาจริง เป็นไปได้หรือไม่ที่จะกระผม้หัวรถจักรนี้ขึ้นมาให้เป็นสิ่งดึงดูดใจนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยว มารำลึกถึงมหาสงครามครั้งนั้นที่ราชบุรีกันบ้าง นอกเหนือจากที่ กาญจนบุรีแล้ว

แต่พื่อคลี่คลายเรื่องนี้ ม.ร.ว.กำลูนเทพ เทวกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรีในสมัยนั้น (พ.ศ.๒๕๓๕) ได้มีหนังสือที่ รบ ๐๐๑๕.๑/๒๑๒๗๖ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๓๕ ถึงเจ้ากรมการทหารช่าง ขอความร่วมมือในการกระผม้หัวรถจักรไอน้ำ แต่เนื่องจากขาดงบประมาณ จึงไม่สามารถดำเนินการได้ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๐ นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดราชบุรี ได้เสนอเรื่องการกระผม้หัวรถจักรไอน้ำต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในสมัยนั้น ซึ่งก็ได้แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการ ประกอบด้วยพลโทวิษณุ อุดมสรยุทธ เจ้ากรมการทหารช่าง เป็นประธาน โดยมีกรรมการจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการได้ประชุมเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๐ ณ กองบัญชาการกรมการทหารช่าง ค่ายภาณุรังษี ส่วนที่ ๑ ผลการประชุม คือ ทุกฝ่ายเห็นด้วยกับการที่จะนำหัวรถจักรขึ้นมา แต่ต้องศึกษาถึงผลได้ผลเสียกับงบประมาณที่ต้องใช้ และประการสำคัญ จะมีปัญหาต่อสะพานจุฬาลงกรณ์ และสะพานธนะรัตน์ที่สร้างขึ้นภายหลังนี้หรือไม่ ?
.....ถึงวันนี้ สะพานจุฬาลงกรณ์ ก็ยังคงรับใช้คนราชบุรี คนภาคใต้ และคนทั่วไปที่นิยมเดินทาง โดยรถไฟ สะพานจุฬาลงกรณ์ยังคงทอดตัวข้ามลำน้ำ เหมือนเมื่อ ๑๐๓ ปีก่อน หากแต่ใต้สะพานแห่งนี้ ใต้พลิ้วคลื่นแห่งลำแม่กลอง หัวรถจักรไอน้ำยังคงนอนสงบนิ่ง เก็บงำความลับแห่งอดีตกาล..... เป็นบาง เศษเสี้ยวของประวัติศาสตร์........ที่ขาดหายไป.......

อ่านต่อ >>

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตำนานสะพานจุฬาลงกรณ์

บทบรรยายการแสดงแสงสีเสียง เรื่อง ตำนานสะพานจุฬาลงกรณ์ อ.เมือง จ.ราชบุรี นี้ ผมได้จัดทำไว้เมื่อกลางปี พ.ศ.2548 เนื่องจาก จังหวัดราชบุรี ดำริจะจัดให้มีการแสดงในช่วงเทศกาลลอยกระทง จนแล้วจนรอด ก็ไม่ได้แสดง..เพราะถึงเวลา ไม่มีใครเป็นเจ้าภาพจริง...ได้แต่พูดกันไป..เพื่อป้องกันการสูญหาย จึงได้นำมาไว้ใน Blog แห่งนี้ เพื่อว่าจะมีใครนำไปประยุกต์ใช้ในอนาคต เนื้อความที่เขียนยังไม่ได้มีการประชุมเพื่อปรับแต่ง อาจจะฟังยังไม่รื่นหูมากนัก
บทบรรยายถูกบันทึกไว้ใน จันทรวงศ์.blog โปรดคลิกตามที่อยู่ด้านล่างนี้
http://chantrawong.blogspot.com/2009/08/blog-post_09.html
อ่านต่อ >>