วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

ทางเดินใต้ดินจากเพชรบุรีมาราชบุรี

ผมอ่านพบเรื่องนี้จากตอนหนึ่งในหนังสือ "หมอสูนคนดี"  ซึ่งเขียนโดยคุณเอนก  นาวิกมูล เขียนไว้เมื่อ 28 สิงหาคม 2544 และตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ.2551 โดยเรื่องนี้ หมอสูน หงษ์ทอง ซึ่งเป็นคนเก่าแก่ของจังหวัดราชบุรี   ฟังมาจากพระอาจารย์ปั่น วัดเขาเหลือ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์อีกทอดหนึ่ง ....เรื่องนี้เป็นเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ผู้อ่านต้องใช้วิจารณาณเอาเองนะครับ...อาจจะยาวไป..แต่ก็น่าติดตามครับ
  
หมอสูน หงษ์ทอง
ผู้เล่า ซึ่งฟังเรื่องนี้มาจาก
พระอาจารย์ปั่น วัดเขาเหลือ
เรื่องมีอยู่ว่ามีพระสี่รูป ชวนกันไปสำรวจเขาหลวงในเพชรบุรี เพราะถ้ำเขาหลวงนั้นเปรียบประดุจอัญมณีอันงามงด ทั้งปรากฏคำบอกเล่ามาแต่โบราณว่า บางสาขามีของวิเศษเป็นที่ต้องการของผู้คน บางถ้ำก็มีคนพวกหนึ่งอาศัยอยู่ดังเรียกว่า คนเมืองลับแล เคยมีคนเห็นแกลบที่พวกเมืองลับแลทิ้งไว้แต่ไม่เคยพบตัว ส่วนถ้ำใหญ่ที่เรียกว่าถ้ำเขาหลวง เมื่อลงบันไดไปแล้วจะเห็นหินงอก หินย้อยประดับประดาเป็นอัศจรรย์อยู่ทั่วไป

ครั้นลงไปถึงจนพื้นล่าง จะเห็นห้องโถงกว้างใหญ่ แม้วงตระกร้อก็เข้าไปเล่นได้ถึงสองสามวง แหงนมองขึ้นไปข้างบนเห็นปล่องอากาศ มีแสงส่องสว่างลงมาเป็นลำ รอบๆ ถ้ำมีพระพุทธรูปที่พระเจ้าแผ่นดินและคนแต่ก่อนสร้างเอาไว้มากมาย ถ้ำนั้นถึงยามเทศกาลสงกรานต์ ก็มีคนหลั่งไหลกันลงมาไม่ขาด แม้สุนทรภู่มหากวีก็ยังเคยเขียนพรรณนาไว้ในนิราศเมืองเพชรอย่างยืดยาว

กล่าวถึงพระทั้งสี่ หลังจากเที่ยวถ้ำต่างๆ ไปพักใหญ่ก็หลงทาง รู้สึกว่ายิ่งเดินยิ่งลึก ที่สุดก็หาทางกลับไม่ถูก หันไปทางไหนก็ล้วนมีแต่ความมืดมนอนธกาล ต้องเกาะคลำจีวรกันไปเหมือนคนเสียตา

ขณะกำลังเหนื่อยเพลียและเริ่มสับสน พระทั้งสี่ได้ยินเสียงปี่พาทย์ราดตะโพนดังแว่วมาแต่ไกล พระซึ่งกำลังหมดหวังรู้สึกใจชื้นขึ้นมา ก็พยายามเดินหาต้นเสียง แต่แม้จะตะเกียกตะกายอย่างไรก็หาไม่ถูก สักพักหนึ่งได้ไปพบที่แห่งหนึ่งเข้า มีกำแพงสูงสองชั่วคนล้อมรอบเป็นมณฑล แต่กำแพงช่างอัศจรรย์ประตูทางเข้าสักประตูก็ไม่มีเสียเลย  ต้องเดินวนไปวนมาอยู่อย่างนั้นไม่เป็นอันทำอะไร

ครั้นแล้วพระรูปหนึ่งก็ออกความคิดว่า ตนจะย่อตัวให้พระอีกรูปหนึ่งเหยียบบ่าขึ้นไปชะโงกมอง เผื่อจะเจอมนุษย์มนามาช่วนสักคนก็ยังดี

พระรูปหนึ่งอาสาทำหน้าที่เป็นกล้องสองทาง ได้เหยียบบ่าของเพื่อนและเหนี่ยวขอบกำแพงขึ้นไป ทันใดนั้น เพียงแค่ชะโงกดูแล้วหันกลับมายิ้ม พระเคราะห์ร้ายก็ถูกอะไรไม่ทราบ ดูดดึงร่างหายวับไปยังฝั่งโน้นโดยไม่ทันร้องสั่งอะไรเลย

พระที่เหลือตกตะลึง ขยี้ตาคิดเหมือนว่าตัวเองฝันไป จะป่ายปีนต่อตัวขึ้นไปด้วยวิธีเดิมก็กลัวถูกดูดหายไปทันทีอีก อย่ากระนั้นเลย จงเอารัดประคดมาผูกกับตัวเองให้แน่นเสียก่อนเถิด จากนั้นให้เพื่อนที่เหลือคอยดึงเอาไว้ เวลาเกิดเป็นอะไรไป อย่างน้อยเพื่อนคงช่วยดึงกลับลงไปได้ทัน

เมื่อตกลงกันแล้ว พระรูปหนึ่งก็เอารัดประคดผูกเอวเหยียบบ่าเพื่อนขึ้นไป พอปีนขึ้นไปยังไม่ทันไร แค่ยิ้งหน่อยหนึ่งก็ทำท่ากระโดดข้ามไปทางฝั่งโน้นอีก พระข้างล่างเห็นท่าไม่ดีรีบดึงสายรัดประคดโดยแรง ทำให้พระรูปนั้นตกลงมากระแทกพิ้นกลายเป็นคนง่อยใบ้ไม่สามารถพูดอะไรได้เลย

พระสองรูปที่เหลือไม่รู้จะทำอย่างไร จะทิ้งเพื่อนเสียก็เป็นห่วงเป็นใย จำต้องยอมออกแรงแบกหามกะร่องกะแร่งกันตามยถากรรม เวลานั้นกี่โมงยามแล้วก็ไม่รู้ได้  เวลาผ่านไปในความมืดมน นอกจากจะขวัญเสียแล้วยังเหนื่อยเพลียมิได้สร่างซา

พระภิกษุเจ้ากรรมคลำทางเรื่อยมาจนถึงตึกหลังหนึ่ง รู้สึกดีใจ หวังจะได้หยุดพักหลับนอนเสียที ก่อนถึงตัวตึกท่านสังเกตุเห็นขึ้แพะหล่นล่วงเป็นเม็ดอยู่เกลื่อนกลาด แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก รีบหย่อนตัวลงเอนกายาพักผ่อนทันที

นอนไปเพียงคู่เดียว ยังไม่ทันหายเหนื่อยก็มีแพะเข้ามาหลายสิบหลายร้อยตัว ดูสับสนอลหม่านแออัดไปหมด ทันใดเจ้าของแพะก็เดินตามเข้ามา พระท่านว่าเจ้าของแพะนั้นร่างสูงใหญ่เหมือนยักษ์ หน้าตาหรือก็อัปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวเสียนี่กระไร ดวงตาของมันมีเพียงดวงเดียว แต่เคาะห์ดีอยู่หน่อย มันไม่ได้สนใจว่ามีใครแอบแฝงอยู่ในที่ของมันเลย พอเข้ามาแล้ว ก็ปิดประตูนอนหลับไปในบัดดล เสียงกรนของมันดังสะท้านถ้ำ ทำให้พระทั้งสามรู้สึกหนาวจนเย็ยยะเยือกไปทุกขุมขน

ด้วยความกลัวว่าจะถูกกิน พระสามรูปกระซิบกระซาบปรึกษากันว่า เราควรจะหนีให้พ้นตึกนี้ด้วยวิธีไหน และถ้าหากจะจัดการยักษ์ เราจะจัดการมันด้วยวิธีใด เพราะถ้าไม่ลงมือทำเสียก่อน ไม่ช้ามันคงจะฆ่าเราแน่่ ผิดถูกเอาตัวรอดไว้ก่อน ค่อยไปปลงอาบัติเอาภายหลังเถิด

ถ้าเขาหลวง เพชรบุรี
ที่มาของภาพ
http://www.tourdoi.com/webboard2/generate.cgi?
content=0571&board=board_1
เมื่อตกลงใจกันได้แล้ว พระรูปหนึ่งก็เอากรรไกรหนีบหมากที่มีติดย่ามย่องเข้าไปใกล้ยักษ์ หวังทิ่มตายักษ์ให้บอด แต่ยังไม่ทันลงมือ แพะทั้งหลายก็พากันวิ่งขวักไขว่ขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ยักษ์พลอยตื่นไปด้วย โชคดีพระเจ้าของกรรไกรพยายามตั้งสติ จ้วงแทงตายักษ์อย่างไม่ยั้งมือ ทำให้ยักษ์ตาบอดร้องโอยโอยด้วยความเจ็บและโมโหโกรธา

พระสามรูปรีบเปิดประตูหนีออกมา แต่สืบเนื่องจากพระรูปหนึ่งตกกำแพงพิการมาแต่ทีแรก การหนีจึงค่อนข้างทุลักทุเล ทำให้ยักษ์ตามทัน และคว้าเอาตัวพระพิการไปได้ในเวลาไม่นาน

พระที่เหลือวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงจนแทบขาดใจตาย ในถ้ำจะมีทางออกทางไหนบ้างไม่เป็นอันได้พิเคราะห์ดู วันเวลาผ่านไปอีกนานเท่าไรไม่มีใครทราบ เพราะไม่รู้จะนับอย่างไร ได้แต่นอนพักบ้าง คลำทางกันมาบ้าง กระเซอะกระเซิงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งพบบ่อน้ำเข้าบ่อหนึ่ง น้ำในบ่อใสแจ๋วน่ากินเป็นกำลัง ด้วยความกระหายสุดขีด พระรูปหนึ่งตรงไปที่ขอบบ่อ เอามือทั้งสองวักน้ำดื่มเข้าไปทันที

เท่านั้นเอง...พระคุณเจ้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนรูป จากเนื้อตัวที่มีอ่อนมีแข็งอย่างมนุษย์ ก็กลับกลายเป็นก้อนหินไปอย่างเสือช้างบ่างชะนีทั้งหลายที่ยืนนิ่งอยู่เรียงราย

พระรูปสุดท้ายก็ตกใจ ฝืนจุ่มนิ้วลงไปเพื่อพิสูจน์ดู  พบว่าน้ำในบ่อเย็นเฉียบ ส่งกระแสแปลบเข้าไปถึงหัวใจ และไม่ช้านิ้วของท่านก็เป็นหินไปต่อหน้าต่อตา

บัดนี้ท่านจึงรู้ว่ามรณะใกล้มาถึงแล้ว สัตว์ต่างๆ รวมทั้งเพื่อนของท่านที่กลายเป็นหินไปที่แท้ก็เพราะสัมผัสกับน้ำมฤตยูเข้าไปนี่เอง เมื่อเห็นว่าอยู่ที่นั่นไม่ปลอดภัยเสียแล้ว ท่านก็รับโซซัดโซเซต่อไปทันที

ได้วนเวียนในถ้ำอยู่นานจนจวนเจียนจะหมดแรง ชั่วขณะหนึ่งหูของท่านก็แว่วได้ยินเสียงหมูร้องดังมาจากข้างบน นี่แสดงว่าผู้คนและสัตว์เลี้ยงคงจะอยู่บนหัวของเราแล้วซี พระผู้โดดเดี่ยวคิดในใจ บางทีถ้าแข็งใจเดินไปอีกนิดอาจได้ขึ้นไปสู่ผิวโลก พบหมู่บ้านเข้าสักแห่งหนึ่งก็ได้

วัดศรีชมพูราษฎร์ศรัทธาธรรม ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี
ที่มาของภาพ :
http://hererb.blogspot.com/2009/06/blog-post_08.html
เหมือนลมพัดมาต้องตัววูบหนึ่ง เหมือนหลับฝันพลันเรื่องเปลี่ยนไปอีกเรื่องหนึ่ง พระผู้รอดชีวิตเล่าว่า อยู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งมาพบเข้าและนิมนต์ไปสวดมนต์ในงานโกนจุกลูกชาย ได้พักนอนที่งานคืนหนึ่ง ทำพิธีกันเสร็จเรียบร้อยเขาก็พามาส่ง ณ ที่แห่งหนึ่ง จากนั้นคนๆ นั้นก็หายตัวไป

ผ่านไปอีกพักใหญ่ จึงรู้สึกตัวใหม่ว่าร่างกายได้สัมผัสลมเย็น พระจากเพชรบุรีค่อยๆ สำรวจตัวเอง แล้วรู้สึกว่าตนยังมีลมหายใจ บัดนี้รอบข้างที่เคยมีแต่ความมืดและความอ้างว้างวังเวง กลายเป็นปากถ้ำแห่งหนึ่งที่มองออกไปแลเห็นไม้ไร่และบ้านเรือน

ทันใดนั้นมีเสียงเคาะเกาะดังเป็นสัญญาณมาจากเรือนจำ แว่วในโสตสำนึกว่ากำลังเป็นเวลา 6 โมงเย็น ปรากฏว่าท่านมาโผล่เอาที่เมืองราชบุรี และใกล้ๆ ปากถ้ำนั้น คือ วัดที่มีชื่อว่าวัดสีชมพู....(น่าจะหมายถึงวัดศรีชมพูราษฎร์ศรัทธาธรรม ในปัจจุบัน)

พอออกจากปากถ้ำ ก็ได้พบพระทั้งหลาย ต่างมารุมล้อมสอบถามกันด้วยความสนใจ พระรูปนี้เดินใต้ดินจากเพชรบุรีมาโผล่เอาที่ราชบุรีซึ่งไกลกันตั้ง 60 กว่ากิโลเมตรได้อย่างไร ฟังเรื่องที่เล่ามาแล้ว ก็พิสดารจนไม่น่าจะเป็นจริงได้เลย

พระจากเพชรบุรียืนยันจนอ่อนใจ ทันใดนั้นท่านก็นึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง มีสิ่งหนึ่งอาจช่วยพิสูจน์เรื่องที่เล่ามามาเป็นความจริงได้ นั่นคือ นิ้วที่เคยจุ่มลงไปในบ่อมฤตยูนั่นเอง ท่านยกนิ้วที่กลายเป็นหินขึ้นมาให้ทุกคนดู นิ้วนั้นแข็งราวกับหิน ถึงจะเอาไฟตะเกียงมาลนก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ ทว่าพอเอานิ้วลนไฟแล้วเอามานาบคนอื่นๆ ต่างพากันปวดแสบปวดร้อนไปหมด เหมือนโดนไฟนาบจริงๆ พระใต้ดินเอานิ้วมาเคาะหัวเด็กๆ ก็เจ็บ ต่างรู้สึกอัศจรรย์ใจกันทุกคน

ฝ่ายพระสูน (หมอสูน) เมื่อได้ฟังเรื่องราวของอาจารย์ปั่นจบแล้ว ภายหลังเมื่อมีโอกาสก็ไปหาพระเพชรบุรีรูปนั้น พระสูนว่าพระเพชรบุรีเอานิ้วมาให้จับดู ได้จับแล้วรู้สึกว่าแข็งเหมือนหินน่าประหลาดใจจริงๆ เมื่อเวลาผ่านไป นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ก็เอามาเล่าให้ลูกหลานและคนอื่นๆ ฟัง

ที่มา
เอนก นาวิกมูล. (2551). หมอสูน คนดี. กรุงเทพฯ : แสงดาว. (หน้า 133-137)

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ10 มีนาคม, 2555 22:22

    ปู่ก็เคยเล่าให้ผมฟังเหมือนกัน แต่สถานที่อาจแตกต่างกัน เช่นปากทางเข้า เข้าได้ที่ถ้ำแถวเขางู(แต่ตอนนี้ถูกการระเบิดหินของเขางูปิดไปแล้ว) ทางนี้จะไปทะลุที่เขาช้างได้ และจากเขาช้างจะไปทะลุที่เขาหลวงเพชรบุรีได้ แต่มาทะลุที่วัดศรีชมพูคงเป็นไปไม่ได้เพราะวัดอยู่ใกล้ตลาดราชบุรีและไม่มีภูเขาด้วย ส่วนในถ้ำนั้น เขาบอกว่ามีของดีอยู่หลายอย่างเช่น ตัวเปรี้ยว มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ตัวเท่าเด็กขวบ สองขวบ ทั้งคนใหญ่หรือเด็ก แปลกตรงที่ว่าเท้าจะกับด้านกับคนทั่วไป(เวลาเดินหน้าจะเอาส้นเท้าไปก่อน) หากใครได้กินเนื้อจะสามารถเหาะไปป่าหิมพานพ์ได้ และอีกอย่างคือปลาตะเพียนในบ่อบัวในถ้ำลึก ก็มีคุณวิเศษเหมือนกัน ส่วนอีกถ้ำหนึ่งคือถ้ำทะลุ น่าจะอยู่แถววัดถ้ำทะลุ หรือที่เขาหุบผาสวรรค์ มันสามารถเดินทางทะลุไปยังฝั่งพม่าได้

    ตอบลบ