วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2553

นักล่ายี่สกแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง


ในบรรดาปลาน้ำจืดขนาดใหญ่ ปลาที่หายาก มีราคาสูง และเนื้ออร่อยรสดีเลิศ เป็นที่ต้องการในหมู่นักชิมทั้งหลาย ก็คือ ปลายี่สก ซึ่งคนในลุ่มน้ำต่างๆ มักเรียกชื่อแตกต่างกันไป เช่น คนในแถบแม่น้ำโขง เรียกว่า ปลาเอิน หรือปลาเอินคางมุม ที่แม่น้ำน่านเรียกว่า ปลาชะเอิน ส่วนในเขตแม่น้ำแควน้อย แควใหญ่ และแม่น้ำแม่กลอง เรียกว่า ปลายี่สกทอง เนื่องจากเกล็ดลำตัวของมันมีสีเหลืองทองนั่นเอง

ปลายี่สกเป็นปลาเผ่าพันธุ์เชื้อสายเดียวกับ ปลาตะเพียน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Probarbus julllieni หน้าตารูปร่างเหมือนปลากะโห้ แต่ลำตัวค่อนข้างกลมและยาวเพรียวกว่า อีกทั้งหัวและเกล็ดก็เล็กกว่าด้วย สีสันของเกล็ดลำตัวเป็นสีเหลืองทองสวย มีลายดำทอดยาวตามลำตัวจากหัวถึงโคนหางเจ็ดแถบ บริเวณหัวจะมีสีเหลืองแกมเขียว เยื่อม่านตาเป็นสีแดงเรื่อๆ ครีบอก ครีบท้อง ครีบหลัง ซึ่งมีก้านครีบเก้าอัน และครีบก้นซึ่งมีก้านครีบห้าอันนั้น มีเส้นสีชมพูแทรกอยู่บนพื้นครีบสีเทาอ่อน หางค่อนข้างใหญ่และเว้าลึก ส่วนปากหนาและมีหนวดสั้นๆ หนึ่งคู่ที่ขากรรไกรบน
ปลายี่สกชอบอาศัยอยู่ตามแม่น้ำที่พื้นท้องน้ำเป็นกรวดทราย มีห้วยหรือวังน้ำที่น้ำลึก และใสสะอาด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พบปลายี่สกทองในลำน้ำแม่กลอง ในหน้าแล้งมันจะพำนักอาศัยอยู่บริเวณต้นน้ำในเขตแควน้อย แควใหญ่ พอถึงฤดูฝนเมื่อน้ำไหลหลาก ก็จะว่ายตามกระแสน้ำลงมาหากินในแม่น้ำแม่กลอง เมื่อใดน้ำเหนือเริ่มลดลง ปลายี่สกจึงจะทยอยกลับคืนสู่ต้นน้ำ ซึ่งชาวงระยะนี้เอง ที่ชาวประมงในเขต จ.ราชบุรี ตั้งแต่เขตบ้านโป่ง จนถึง อ.เมือง เคยออกล่าปลายี่สกกันตลอดทั้งลำน้ำ และในจำนวนนักล่าเหล่านั้น เฮียเต็ม กิจประเสริฐ นักล่าจากบ้านโป่ง วัย 57 ปี ได้ถ่ายทอดประสบการณ์การล่าปลายี่สก ซึ่งบัดนี้เหลือเพียงความทรงจำเท่านั้น

"พอน้ำมา มันมากับน้ำ กระทบน้ำเค็มปั๊บย้อนกลับเลย มันจะวิ่งกลับเป็นทางของมัน ไม่สะเปะสะปะ เราต้องควานหาทางมันให้เจอ ลงเบ็ดขวางลำน้ำ ดักทางไว้ วันนี้ไม่ติดก็รีบหาทางใหม่ไปเรื่อย ปลามันจะเปลี่ยนทิศทางเดินทุกปี อย่างปียี้กินริม ปีหน้าอาจเลื่อนมากลาง ถ้าเราจับทางเดินได้ ปลาตัวอื่นในฝูงก็จะเดินร่องนี้"

"...ปลามาเป็นชุด แต่ละฝูงเดินตามทางไม่เหมือนกัน ฝูงหนึ่งอาจมีสองสามตัว แต่บ้างครั้งก็ได้ตัวเดียว ผมใช้เบ็ดราวจับ บางคนใช้แห แต่กินมันยาก อย่างคนตัวเมืองราชบุรีคนหนึ่งเขาใช้แหทอด ถูกปลามันดึงตกน้ำตายเลย ปลามันแรง ทอดแล้วไม่ระวัง สายแหพันมือเอาไม่ออก"

"ผมใช้ข้าวเป็นเหยื่อ เอาปลายข้าวเหนียวกับข้าวเจ้ามาหุง เช็ดน้ำเสร็จขึ้นมาดง เอาลูกตาลสุกมายีเนื้อคลุกเคล้าลงไปในข้าว จะหอมเลย จนบางครั้งผมทำอยู่ แม้..ยังอยากกินเลย แต่เขาไม่ให้ดมนะ..ถือเคล็ด จากนั้นก็ใส่สีผลมอาหารลงไปให้เหลืองสวยเหมือนผลไม้ แล้วใส่ครกตำ ข้าวต้องหุงแบบสุกๆ ดิบๆ หน่อย ตอนที่โขลกบางคนก็ใส่งาหรือใส่กล้วย ยิ่งโขลกยิ่งหอม เพราะงามันแตก แล้วจึงปั้นหุ้มเป็นเหยื่อ เวลาลงน้ำไม่หลุดหานหรอก มีข้าวเหนียวช่วยจับเป็นก้อน สมัยก่อนถ้ามาถามเรื่องเหยื่อ ผมไม่บอกหรอกนะ ของอย่างนี้มันเป็นความลับของคนหาปลา สูตรของใครก็สูตรของมัน"

"วางเบ็ดแต่ละครั้ง อาจถึงสี่ตัว วันหนึ่งกู้สองหน เอาเรืออกไป ที่หัวเรือเราต้องมีเชือกอีกเส้นหนึ่งผูกไว้ ถ้ารู้ว่าได้ปลาใหญ่ เอาเส้นที่เรือผูกต่อกับเส้นเบ็ด มัดให้แน่นเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะเผลอๆ เราต้องปล่อยให้เรือแล่นกับมันแล้วจึงสาวเข้ามา ..สาวทีแรกๆ มันจะตามาเรื่อยๆ แต่หนักเหมือนกับติดกองสวะ พอใกล้ถึงเรือ มันซัดน้ำกระจุยเลย ถ้าเราปล่อยไม่ทัน ถูกมันซัดตกน้ำ พี่ชายผมเคยถูกมันซัด เบ็ดติดของกางเกง ต้องถอดกางเกงออกไม่งั้นตาย เพราะมันจะลากเราไป"

"การสาวถ้ามันดึง เราต้องรีบปล่อย จนมันหมดแรงจึงสาวใหม่ คือต้องรู้จังหวะ มันดึงเราปล่อย มันหยุดเราสาว เย่อกันไปอย่างนี้จนมันสิ้นแรง หากเราสาวหัวมันพ้นน้ำเมื่อไหร่ มันไม่รอดแล้ว แต่ถ้าหัวมันมุดน้ำ ไปถึงไหนถึงกัน...แรงมันอยู่ที่หัว เราต้องรู้นิสัยปลาว่ามันจะยื้อนานแค่ไหน เคยเย่ออยู่ราวครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงก็มี ปลาที่จับได้ไม่ค่อยเจอว่ามันมีไข่เท่าไร สมัยก่อนทางนี้ ยี่สกชุมกว่าทางเมืองกาญจน์ เพราะมันล่องลงมาหาอาหาร เดี๋ยวนี้มันลงมาไม้ได้ ติดเขื่อนหมด"

"เมื่อก่อนช่วงหน้าตลาด จากศาลาประชมคมถึงห้องสมุด มีคนจับปลายี่สกอยู่ห้าหกคน มีแหล่งวางเบ็ดของใครของมัน ทั้งซอยเนียนทองคำเป็นแหล่งชุมนุมคนหาปลา เย็นๆ ก็มานั่งคุยกันก่อนลงเรือกู้เบ็ด ปลายี่สกมันชอบขึ้นกลางคืน โดยเฉพาะคืนเดือนหงาย ปลาว่ายขึ้นเรื่อยๆ จับได้มาก พอจับได้มีคนมาหาซื้อแล้วไม่ต้องส่งขาย เพราะแต่ก่อนมันไม่มีร้านอาหาร ชาวบ้านจะกินก็มาซื้อตอนเช้าๆ เขามาซักผ้าที่แม่น้ำกันเห็นปลาผูกอยู่ที่แพ ก็ถามว่าปลาใครวะ..ซื้อกันไป ยี่สกเมื่อก่อนโลละ 7-8 บาท เดี๋ยวนี้โลละ 200 กว่าบาทแล้ว"
"ยี่สกถือว่าเป็นเจ้าแห่งปลาเกล็ด ไม่มีคาว เนื้อเหลืออร่อยเหนียวแน่น รสหอมหวาน กลิ่นเหมือนเผือก หนังหนากรุบกรอบ โดยเฉพาะเกล็ด เอาไปทอดแล้วเหมือนข้าวเกรียบเลย ที่สำคัญก้างไม่มาก เพราะตัวใหญ่ คนบ้านโป่งชอบนำไปผัด ต้มยำ ต้มส้ม บ้างก็เอาไปเจี๋ยนไปทอด ปรุงได้หลายอย่าง เดียวนี้ที่ขายๆ กันมันเป็นยี่สกเทศ เป็นปลาที่ถูกปล่อย เนื้ออร่อยสู้กันไม่ได้ ยี่สกทองเลี้ยงไม่ได้หรอก ตอนนี้ในแม่กลองหาไม่ได้ มีจับได้แต่ทางกาญจน์โน่น"
ที่มาของข้อมูล
-สุดารา สุจฉายา.(2541). ราชบุรี. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์สารคดี. (หน้า 56-57)

1 ความคิดเห็น: