วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คำให้การของศรีวิชัย ทรงสุวรรณ คนต้นแบบเลิกเหล้าตลอดชีวิต

หลายท่านอาจจะได้ยินชื่อของอาจารย์ศรีวิชัย  ทรงสุวรรณ มาบ้างแล้ว และหลายท่านก็อาจจะไม่เคยได้ยิน ท่านเป็นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งของ จ.ราชบุรี ที่น่าศึกษา   ประวัติของท่านหาค่อนข้างยากมาก เพราะท่านค่อนข้างถ่อมตน ไม่เคยอวดภูมิรู้แก่ผู้ใด 

เรื่องราวหลายเรื่องที่น่าสนใจซึ่งเกิดกับชีวิตของท่าน ท่านมักจะเขียนออกมาในรูปของบทความและเรื่องเล่า  หลังจากที่ผมมีโอกาสได้พบท่าน ตอนเป็นคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมกิจการมหาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง ด้วยกัน ระหว่างปี พ.ศ.2551-2554 ผมตั้งใจจะศึกษาเรื่องราวและผลงานของท่านที่มีอยู่ ออกมาเผยแพร่เพื่อให้หลายๆ คนได้เอาเยี่ยงเอาอย่างมาดำเนินชีวิตต่อไป 

ผมพยายามค้นข้อมูลจากท่านในหลายๆ ทาง เผอิญไปพบ เรื่อง "คำให้การของคนเคยดื่มเหล้า" ซึ่งปรากฏในเว็บไซต์ stopdrink.com  เป็นบทความที่ท่านเล่าให้ฟัง ผมคิดว่าน่าสนใจมากครับเพราะเรื่องราวบางเรื่องเกิดขึ้นในจังหวัดราชบุรีของเราเอง  จึงได้คัดลอกมาบันทึกไว้ในราชบุรีศึกษานี้อีกช่องทางหนึ่ง

ที่มาของภาพ
http://www.stopdrink.com/index.php?
modules=news&type=5&id=1889

ซ้ายสุด : คุณศรีวิชัย  ทรงสุวรรณ
ท่านให้การไว้ดังนี้
ยายเคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อใดที่ผมคลานเข้าไปในวงเหล้าที่มีพ่อกับแม่และวงศาคณาญาติรวมวงนั่งดื่มเหล้ากันอยู่ ไม่พ่อก็แม่จะใช้นิ้วของท่านจุ่มลงไปในแก้วเหล้า นำเหล้าซึ่งติดอยู่ปลายนิ้วมากวาดที่ลิ้นของผม ทำให้ลิ้นของผมได้สัมผัสกับแอลกอฮอล์ตั้งแต่ผมยังจำความไม่ได้

บรรพบุรุษทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ (ยกเว้นยาย) ดื่มเหล้ากันทุกคน เคยถามท่านเหล่านั้นว่าดื่มเหล้าแล้วได้ประโยชน์อะไรที่ได้รับคำตอบว่า ดื่มเพื่อให้หายเมื่อย ดื่มแล้วกินข้าวอร่อย ดื่มแล้วนอนหลับสบาย ดื่มแล้วช่วยดับความทุกข์ไปได้ระยะเวลาหนึ่ง ดื่มแล้วมีเพื่อนมาก ส่วนน้องชายของพ่อตอบว่าดื่มแล้วทำให้อารมณ์เบิกบาน

เมื่อใครก็บอกว่าดื่มเหล้าแล้วดีมีประโยชน์ผมจึงเริ่มดื่มตั้งแต่อายุ 14 ปี เป็นการดื่มหลังจากเลิกงานแบกหามดื่มพอตึง ๆ หน้าก็กินข้าวและเข้านอน จริงอย่างที่ผู้ใหญ่เขาพูดกันดื่มเหล้าแล้วหายเมื่อย นอนหลับสบาย

แต่ที่ผู้ใหญ่ไม่เคยบอกผมก็คือ ดื่มเหล้าแล้วเงินที่ได้มาจากการแบกหามจะหมดไปกับค่าเหล้าและค่ากับแกล้ม ตื่นนอนตอนเช้าจะรู้สึกมึนศีรษะและอ่อนเพลียจนแทบไม่อยากลุกจากที่นอน

รับจ้างเขาหาบหิน ดิน ทราย และทำงานก่อสร้างอยู่ได้ระยะหนึ่ง ร่างกายก็สู้กับงานหนักไม่ไหว ข้อเท้าอักเสบเดินไม่สะดวก บ่าทั้งสองข้างระบบ บวม และแตกเป็นแผล เมื่อรักษาอาการต่าง ๆ หายเป็นปกติจึงทิ้งงานแบกหาม ไปทำงานที่วิกหนัง ญาติพี่น้องหลายคนออกมาคัดค้านต่างคนต่างบอกผมว่า ที่โรงหนังมีแต่พวกกุ๊ย พวกนักเลง

ผมไม่สนใจคำพูดคัดค้านเหล่านั้น ใจคิดแต่เพียงว่างานอะไรก็ได้ทำแล้วได้เงินผมทำทั้งนั้น ยกเว้นงานทุจริตผิดกฎหมาย ทำงานผิดกฎหมายแม้จะรวยได้ดีก็จริง แต่สุดท้ายคนทำจะต้องติดคุกติดตะรางหรือไม่ก็ถูกฆ่าตัดตอน

คนทำงานโรงหนังมีทั้งกลุ่มที่ดื่มเหล้าและไม่ดื่มเหล้า
คนไม่ดื่มเหล้าทุกคนล้วนเป็นผู้อาวุโส คนดื่มมีแต่วัยรุ่น

นวัยเดียวกับผมจะนัดกันไปตั้งวงดื่มเหล้าบริเวณริมแม่น้ำแม่กลองหน้าหอนาฬิกา
ห้าโมงเย็นเป็นเวลาตั้งวง หกโมงเย็นหยุดดื่มแล้วเดินตามกันเป็นขบวนเพื่อไปทำงานที่โรงหนัง

เถ้าแก่โรงหนังพูดสำทับเอาไว้ว่า "ถ้าคนทำงานโรงหนังคนไหนปล่อยให้ใครก็ตามเดินเข้าดูหนังฟรีจะต้องถูกหักเงินเดือนเท่ากับราคาตั๋วทุกครั้งไป"  ผมจึงไม่ยอมให้ใครเดินเข้าดูหนังฟรี

ทำงานได้เจ็ดวันก็มีเรื่อง นักเลงรุ่นไหนก็ไม่รู้เดินส่ายร่างจะเข้าดูหนังฟรี  เมื่อผมขัดขวางเขาก็ผลักอกผมจนร่างผมเซถลา ดีกรีของเหล้าที่ซึมอยู่ในกระแสเลือดบวกกับความไม่ยอมคนที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดทำให้ผมประเคนหมัด เท้า เข่า ศอกใส่นักเลงคนนั้นจนเพื่อน ๆ ต้องช่วยกันห้ามคู่กรณีไปแจ้งความนำข้อหาทำร้ายร่างกายมายัดเยียดให้ผม เพื่อน ๆ บอกนายร้อยเวรว่าผมถูกทำร้ายก่อน สุดท้ายตำรวจก็สั่งปรับเป็นเงินคนละเท่า ๆ กันทั้งสองคนนับเป็นการขึ้นโรงพักครั้งแรกในชีวิต นักเลงในยุคนั้นมีทั้งนักเลงแท้และนักเลงเทียม

นักเลงแท้ คือ คนที่นิยมสู้กันแบบตัวต่อตัว ก่อนจะสู้กันจะต้องถามคู่ต่อสู้ก่อนว่าจะสู้กันด้วยหมัด เท้า เข่า ศอกหรือจะสู้กันด้วยอาวุธ อาวุธที่นำมาใช้สู้กันก็มีสนับมือ ไม้คมแผก มีดพก

นักเลงเทียม คือพวกที่นิยมทำร้ายคู่ต่อสู้แบบลับหลังหรือที่นักเลงเรียกกันว่า “ลอบกัด” หรือใช้วิธีรุมสกรัมคู่ต่อสู้หรือที่นักเลงเรียกกันว่า”หมาหมู่”

ครั้งหนึ่งผมถูกคนแปดคนรุมทำร้ายผมแบบหนึ่งต่อหนึ่งแปด หลังการต่อสู้ปรากฏว่าใบหน้าของผมยับเยิน คิ้วแตก ริมฝีปากฉีก ดั้งจมูกหัก ผิวหนังที่กลางหลังถูกดาบฟันเป็นแผลยาวหมอต้องเย็บถึง 42 เข็ม

ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ผมไม่รู้สึกเจ็บแผลแต่รู้สึกเจ็บแค้น
เป็นความแค้นที่ทำให้ผมตามเอาคืนจนครบทั้งแปดคน

ทำงานโรงหนังได้ระยะหนึ่งเห็นผู้สูงอายุท่านหนึ่งมาทำหน้าที่เขียนภาพเหมือนและอักษรประดิษฐ์อยู่ที่โรงหนังผมอยากจะเขียนภาพบ้างจึงฝากตัวขอเป็นศิษย์ ซึ่งครูก็สอนให้ ครูไม่นิยมทำงานในตอนกลางวันชอบเขียนภาพในตอนกลางคืน ครูจะเริ่มเขียนภาพตั้งแต่สองทุ่ม เขียนเรื่อยไปจนถึงตีหนึ่งตีสองจึงจะหยุดเขียน

ก่อนเขียนภาพครูจะต้องดื่มเหล้าถ้าไม่ดื่มมือครูจะสั่น สั่นจนไม่สามารถจับพู่กันเขียนภาพได้ ดื่มเหล้าแล้วมือไม่สั่น ครูจึงใช้ให้ผมเดินไปซื้อเหล้า คอยรินเหล้าให้ครู ครูดื่มไปหนึ่งเป๊ก ผมก็หนึ่งเป๊ก ครูไม่เมาหรอกครับเพราะชั่วโมงการดื่มเหล้าครูมีมากกว่าผม แต่ผมแค่สองสามเป๊กก็ทำท่าจะเมาแล้วจึงดื่มให้น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้เพราะอยากได้ความรู้ที่ครูสอน

พอผมเขียนภาพเหมือนได้ครูก็บอกกับเถ้าแก่ว่าครูไปทำงานที่อื่น โรงหนังนี้มีคนเขียนภาพเหมือนได้แล้ว ก่อนวันที่ครูจะอำลา ผมเลี้ยงส่งครูด้วยการนั่งดื่มเหล้ากับครูทั้งคืนฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ผมไม่รู้ที่ต่ำที่สูงทำตัวเสมอครูบาอาจารย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ

ครั้งหนึ่งผมไปช่วยงานอุปสมบทเพื่อนในหมู่บ้านนั่งดื่มเหล้ากับนักดื่มในหมู่บ้านจนเมาและหลับคาวงเหล้า ผู้ประสงค์ร้ายหามร่างของผมไปนอนแผ่อยู่ในโรงครัว ผู้หญิงที่มาช่วยหั่นมะเขือ ปอกหอม ทุบกระเทียม ขูดมะพร้าวหั่นผัก ตำน้ำพริก คงจะซุบซิบนินทาผมว่า “เมาแล้วนอนเหมือนหมา” หรือว่านินทามากกว่านั้น เพราะเมื่อผมลืมตามองพวกเขาก็ได้ยินเสียงแว่วมาเข้าหูว่า “ไอ้ขี้เหล้าตื่นแล้ว” ทำให้ผมรีบพยุงตัวลุกขึ้นยืนแล้วพาร่างเดินไปให้พ้นจากโรงครัว ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ทำให้ผมนอนที่ไหนก็ได้ เสียบุคลิกภาพ ขาดความหน้าเชื่อถือ ทั้งยังถูกประณามว่าไอ้ขี้เมา ไอ้ขี้เหล้า

ทำงานอยู่โรงหนังได้หกปีมีเรื่องกับคนเบ่ง เดินเข้าดูหนังฟรีนับครั้งไม่ถ้วน ขึ้นและลงโรงพักจนตำรวจเอือมระอา พันตำรวจเอกพร้อม สุขมาก ผู้กำกับการตำรวจภูธรจังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นเพื่อนกับพ่อบอกกับพ่อว่า ถ้ายังให้ผมทำงานอยู่ที่โรงหนังมีหวังผมจะถูกรุมตีตาย จึงอยากให้พ่อจัดงานอุปสมบทผม พ่อเห็นดีด้วย ผมจึงได้อุปสมบทที่วัดเทพอาวาส

ระหว่างอุปสมบทพระมหาสมโภช สะคารโว เจ้าอาวาสวัดเทพอาวาส มีเมตตาผมมากกว่าพระรูปอื่น สังเกตได้จากทุกเย็น เมื่อพระทุกรูปลงโบสถ์พร้อมกันเสร็จภารกิจในโบสถ์พระรูปอื่นจะกลับกุฏิแต่ผมต้องนั่งฟังหลวงพ่ออบรมเรื่องการปรับอารมณ์ตนเองให้มีความอดทน อดกลั้น ให้ใช้สติก่อนที่จะทำการใด ๆ อบรมวันละ 1 ชั่วโมงทุกวันนครบสี่เดือน อยู่ในผ้าเหลืองได้สี่เดือนกว่า ๆ ก็ลาสิกขาบท แล้วกลับมาทำงานที่โรงหนังต่อ ทำงานอยู่ที่โรงหนังได้เดือนกว่า ๆ ก็เกิดความขัดแย้งกับวงศาคณาญาติของเถ้าแก่ ผมเลยอำลาโรงหนัง ไม่มีงานทำอยู่สิบห้าวัน

มีผู้มาติดต่อให้ไปทำงานที่โรงหนังในจังหวัดสมุทรสาครหนึ่งราย และที่จังหวัดสมุทรสงครามอีกหนึ่งราย ขณะที่กำลังเลือกว่าจะไปทำที่จังหวัดใดดี ก็มีผู้มาแนะนำให้ไปสมัครขับรถยนต์ที่หน่วยงานราชการ ด้วยเห็นว่าผมขับรถยนต์ได้ ผมจึงเลือกที่จะไปสมัครขับรถยนต์ ขอกราบขอบพระคุณนายแพทย์ดิลก ทิวทอง ผู้อำนวยการศูนย์อนามัยแม่และเด็กเขต 7 ที่มีเมตตาผมรับผมเข้าทำงาน ช่วยให้ผมพ้นจากคำว่า “กุ๊ยหน้าวิก” มีงานมั่นคงทำ แต่ก็ยังดื่มเหล้าเพราะเพื่อนร่วมงานหลายคนดื่ม แต่การดื่มครั้งนั้นผมดื่มแบบมีสติจึงไม่เมาแบบที่ผ่าน ๆ มา นั่งดื่มกับผองเพื่อนประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ก็ขอตัวกลับบ้าน ปฏิบัติเช่นนี้ทุกวันเพื่อไม่ให้เสียเพื่อน

ขับรถยนต์พาพยาบาลไปทำงานในชนบทอยู่สามปี ผมก็มีความรักกับผู้หญิงที่มีศักดิ์ศรีเหนือกว่าผม เป็นความรักที่ถูกขัดขวางจากผู้บังคับบัญชาของฝ่ายหญิงและเพื่อนของฝ่ายหญิงบางคน ความรักของผมงอกงามได้ปีกว่า ฝ่ายหญิงก็ได้ทุนไปศึกษาต่อที่กรุงเทพมหานคร เป็นการพลัดพรากกันอย่างมีเหตุมีผล เพราะหลังเธอจบการศึกษาเธอก็ขอย้ายไปทำงานที่บ้านเกิดของเธอ “อย่าถามเลยครับว่าผมเสียใจมากไหม” เสียใจก็ต้องดื่มเหล้า นักดื่มหลายคนพูดได้อย่างนั้น ผมจึงดื่มเพื่อให้ลืมเธอ ดื่มจนครองสติไม่ได้ บ้านไม่กลับ อาศัยรถบัสของศูนย์อนามัยแม่และเด็กเป็นที่หลับนอน เกิดภาวะเบื่ออาหาร เครียด เกิดอาการปวดท้อง หมอบอกผมว่ากระเพาะอาหารของผมมีแผล ช่วงนั้นเลยต้องกินยารักษาแผลในกระเพาะอาหารแทนข้าว

ที่มาของภาพ
http://culture.mcru.ac.th/inter0416.html
เจ้าอาวาสวัดเทพอาวาส ทราบว่าผมกำลังจะเสียคนท่านจึงมารับผมไปนอนพักที่วัด ท่านนำธรรมะของพระพุทธเจ้า ว่าด้วยเรื่องการพลัดพรากจากของที่ตนรักตนชอบใจมาปรับอารมณ์จนผมสงบและมีสติ นอนพักอยู่ที่วัดอยู่หลายคืน หลวงพ่อเห็นว่าผมหยุดดื่มเหล้าได้แล้วจึงบอกให้กลับไปนอนบ้าน

ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ผสมกับความผิดหวังในความรักทำให้รูปร่างของผมผอมจนเพื่อนร่วมงานพูดกันว่า “รูปร่างมีแต่หนังหุ้มกระดูก” หยิบภาพถ่ายในครั้งนั้นขึ้นมาดูครั้งใด ใจก็คิดว่ามันเป็นอย่างที่เพื่อนพูดจริง ๆ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาประกอบพิธีเปิดศูนย์อนามัยแม่และเด็กเขต 7 จังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 21 เดือนพฤศจิกายน พุทธศักราช 2512 วันนั้นผมอยากเห็นทั้งสองพระองค์เป็นอย่างยิ่ง แต่หัวหน้างานธุรการออกคำสั่งให้ผมและพนักงานขับรถยนต์ทุกคนอยู่ที่โรงรถ ทำให้ผมเสียใจมาก อยากพบแต่ไม่ได้พบ

ปีต่อมาทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาถวายผ้ากฐินต้นพระราชทานให้กับวัดเขาวัง พระอารามหลวง ในวันที่ 18 เดือนตุลาคม พุทธศักราช 2514 ผมจึงให้เพื่อนที่มีร้านจำหน่ายดอกไม้ทำมาลัยกรให้ผม 2 พวง ผมนำมาลัยกรไปทูลถวายขณะที่ทั้งสองพระองค์เสด็จฯ เยี่ยมประชาชน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ มาประทับยืนอยู่ตรงหน้า ผมทูลถวายมาลัยกร พระองค์รับมาลัยแล้วมีพระเมตตาสอบถามความเป็นอยู่และหน้าที่การงานของผม ที่ผมจำได้และไม่ยอมให้ลืม คือประโยคที่พระองค์ถามว่า

“มีการศึกษาระดับไหน”
ผมกราบบังคมทูลไปว่า “ประถมปีที่สี่พะย่ะค่ะ”

“ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว”
ผมกราบบังคมทูลไปว่า “ยี่สิบเจ็ดปีพะย่ะค่ะ”

“จงหาทางศึกษาต่อหน้าที่การงานจะได้ก้าวหน้ามากกว่านี้”
ผมรีบรับสั่งในขณะที่น้ำตาเต็มสองเบ้าตา

สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเสด็จมาประทับอยู่ตรงหน้า ผมทูลถวายมาลัยกร ทรงรับมาลัยไปจากพาน มีพระเมตตารับสั่งกับผมว่า

“พระเจ้าอยู่หัวทรงพอพระทัยถึงได้รับสั่งด้วยเป็นเวลานาน
พยายามพัฒนาตนเองตามรับสั่งนะ”
คราวนี้น้ำตาผมพรั่งพรู กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เพราะความตื้นตันใจและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ วันนั้นเป็นวันที่ผมอิ่มเอิบใจ ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้รับเสด็จทั้งสองพระองค์แบบใกล้ชิด พระสุรเสียงที่นุ่มนวล แผ่วเบา บ่งบอกถึงความเมตตายังอยู่ในความทรงจำของผมจนกว่าผมจะหมดลมหายใจ

ผมรับรับสั่งแล้วนำมาปฏิบัติโดยเข้าเรียนในหลักสูตรการศึกษาผู้ใหญ่ที่โรงเรียนผู้ใหญ่วัดเขาวัง (แสงช่วงสุวนิช) เข้าเรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ขณะที่ผมมีอายุ 27 ปี และเรียนจนสำเร็จหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.ศ.3)

นายแพทย์ดิลก ทิวทอง อนุญาตให้ผมไปสอบแข่งขันชิงทุนพนักงานอนามัยที่ศูนย์ฝึกอบรมพนักงานอนามัย ภาคกลาง จังหวัดชลบุรี ผมสอบได้และเข้าศึกษาจนจบหลักสูตร เมื่อเรียนจบหลักสูตร กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ก็เปลี่ยนตำแหน่งให้ จากลูกจ้างประจำเปลี่ยนมาเป็นข้าราชการ

ผมได้รับการบรรจุเข้ารับราชการในปีพุทธศักราช 2521 ขณะที่ผมมีอายุ 32 ปี ต่อมานายแพทย์วัลลภ ไทยเหนือ ผู้อำนวยการศูนย์อนามัยแม่และเด็กคนที่ 3 สนับสนุนให้ผมไปสอบแข่งขันเพื่อศึกษาต่อที่คณะสาธารณสุขศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล สอบครั้งแรกในปีแรกสอบไม่ได้ สอบครั้งที่สองในปีที่สองสอบได้ จึงได้ศึกษาจนจบหลักสูตร

วันที่ผมสำเร็จการศึกษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานปริญญาบัตรให้ พระองค์รับสั่งให้ผมไปหาทางศึกษาต่อเพื่อความก้าวหน้าของตนและหน้าที่การงาน ขณะที่ผมมีอายุ 27 ปี ยื่นพระหัตถ์พระราชทานปริญญาสาธารณสุขศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ขณะที่ผมมีอายุ 52 ปี เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมแล้วพระพุทธเจ้าข้า

จากวันที่ผมได้รับพระมหากรุณาธิคุณมาจนถึงวันนี้ผมจะระมัดระวังความประพฤติและอารมณ์ของตนเองเป็นอย่างมาก เพราะวันนี้ผมไม่ใช่กุ๊ยหน้าวิกหนังเหมือนเมื่อวันก่อน

เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์กับผมตัดญาติขาดมิตรกันโดยสิ้นเชิงเพราะมันไม่ใช่ความจำเป็นในการดำรงชีวิต จากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์แบบขาดสติที่ผ่าน ๆ มาทำให้ผมรู้ว่า รายได้ที่ได้มาจากการแบกหาม อาบเหงื่อต่างน้ำ ล้วนหมดไปกับค่าเหล้าและค่ากับแกล้ม สุขภาพทรุดโทรม ร่างกายขาดสารอาหาร โรคหลายโรครุมเร้า มีแต่เรื่องทะเลาะเบาะแว้ง ดุด่า ทุบตี ไปจนถึงการทำลายชีวิตกันและกัน จิตใจหึกเหิม ขาดสติ และประมาท ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ บาดเจ็บ พิการ และตาย

สุดท้ายพ่อกับแม่ของผมก็เสียชีวิต เพราะแผลในกระเพาะอาหารและตับแข็ง
ยังจะดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์กันต่อไปอีกหรือครับ

****************************************************
ที่มา :
ศรีวิชัย ทรงสุววรณ.(2554). ศรีวิชัย ทรงสุวรรณ คนต้นแบบเลิกเหล้าตลอดชีวิต. [Online]. Available :http://www.stopdrink.com/index.php?modules=news&type=5&id=1889. [2554 มิถุนายน 28 ].

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น